หนูอยากไปค่ายอาสาบ้าง
หลังจากใช้ชีวิตมหาลัยมาจนจะจบปี 4 เทอมสอง ข้าพเจ้าก็ได้สำเหนียกกับชีวิตน้อยๆของเราเองว่า 'เฮ้ย..นี่ยังไม่เคยไปค่ายอาสาเลยนี่หว่า' ก็เลยมีความตั้งใจว่าจะไปค่ายอะไรสักอย่าง ที่มันไปนานๆกับเขาบ้าง แบบว่าอยากจะมีความทรงจำดีๆกับชีวิตมหาลัย อยากจะเจอเพื่อนใหม่ๆ
ช่วงนั้นก็เจอป้ายค่ายไหนก็ถ่ายไว้หมด แต่ไม่ได้ไปมีตติ้งกับเค้าเลย สุดท้ายนึกขึ้นมาได้ถึง 'นางไอซ์' เพื่อนวิดวะคนหนึ่ง ที่เห็นมันไปค่ายบ่อยเหลือเกิน ก็เลยไปถามมันเผื่อจะมีค่ายอะไรน่าสนใจบ้าง นางก็บอกว่าเหลือแต่ค่ายชมรมชาวเขานี่แหละ(ชมรมของนางเอง) ที่ยังไม่มีตติ้ง ค่ายอื่นเค้ามีตติ้งไปหมดแล้ว ...ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจริงๆยังมีค่ายอีกมากมายที่ยังไม่มีตติ้ง ก็เลยมามีตติ้งตามที่มันบอก ฮ่าๆๆ (ความปรารถนาในการมาค่ายของเราแรงกล้าจริงๆ)
สุดท้าย ก็ผ่านการคัดเลือกมาค่ายนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจจริงๆ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในค่ายนี้
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
ภาพการรวมตัวกัน ณ ตึกจุล
เช้าตรู่ของวันที่ 20 ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงสุดขีด เพราะเพิ่งสอบเสร็จเมื่อวาน ต้องแบกร่างตัวเองมาที่มหาลัย เพื่อพบปะกับชาวค่ายคนอื่นๆ รวมกันได้ 27 ชีวิต และเราจะออกเดินทางไปด้วยกัน เย้!!
สมาชิกค่ายคนแรกที่ฉันได้รู้จักคือ 'แก้ว' สตาฟค่าย ผู้ชายที่ฉันคิดว่า ทำไมมันผอมจังวะ พูดจาก็ขำๆดี น่าคบหา สอบก็ยังไม่เสร็จ ยังใส่ชุดนิสิตอยู่เลย บอกว่าจะตามไปทีหลัง ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน มันต้องพยายามเพื่อการไปค่ายขนาดนี้เลยหรอ(วะ) พอไปค่ายจริงๆก็มารู้ทีหลังว่าถ้าค่ายนี้ขาดแก้วไป ก็คงลำบากเหมือนกันนะเนี่ย (และแล้วแก้วมันก็ดูหล่อขึ้นมาทันที)
ขึ้นรถไปหัวลำโพงกันโกโก
เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อไปหัวลำโพง เย้ๆ
แก้วกำลังยื่นมือเพื่อช่วยเหลือน้องป็อปในการขึ้นรถ
หลังจากเราขนของลงมาจากห้องชมรมแล้ว เราก็ขนของขึ้นรถและเตรียมตัวขึ้นรถ ออกเดินทางเพื่อไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง! อยากบอกว่ามันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกกกกกก การขึ้นรถไฟฟรีเพื่อไปเชียงใหม่กับเพื่อนใหม่ๆเนี่ย(ถ้าไม่รวมนางไอซ์) แค่คิดว่าจะได้เดินทางไปหัวลำโพงก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว งั้นเราก็ไปกันเลย โกโกโก
ตอนขึ้นรถไปหัวลำโพง ได้นั่งแบบอยู่ใกล้ๆที่เปิดข้างหลัง ลืมไปแล้วว่าได้เอาขาห้อยลงมาหรือเปล่า แต่จำได้ว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ถ้าพ่อไปด้วยคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ ได้นั่งเม้ากับแก้วและน้องกระปุกไประหว่างทาง น้องกระปุกดูเป็นคนที่อารมณ์ดีมากๆ แล้วเราก็คิดว่าอยากจะรู้จักกระปุกมากขึ้นเยอะๆด้วย แต่สิ่งที่ทำให้น่าตกใจเล็กน้อยคือ หลังจากรถขับออกไปผ่านประตูจุฬาฯไปไม่ไกลเท่าไหร่ สรรพนามเรียกขามของข้าพเจ้ากับแก้วก็เริ่มมีคำว่า กู-มึง เข้ามา ถึงแม้ว่าจะตกใจนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรข้าพเจ้าเป็นผู้ปรับตัวไว มันอาจจะเป็นธรรมชาติของผู้ชายวิดวะ หรือไม่ก็ค่ายนี้คนเค้าสนิทกันมากกกกก (โอเคมองโลกในแง่ดี ฮ่าๆๆ)
ได้เวลาขึ้นรถไฟ
ขนข้าวของมาที่ชานชลา
หลังจากถึงหัวลำโพง ขนของมาไว้ที่ชานชลาเรียบร้อย น้องดนย์(ประธานค่าย) ก็คงจัดการจองตั๋วรถไฟฟรี หรือไม่ก็คงจัดการมานานแล้ว ปล่อยให้ชาวค่ายไปหาอะไรกินก่อนที่จะไม่ได้ประสบพบเจอความศิวิไลซ์ เป็นเวลา 15 วัน คุณพระ! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าชาวค่ายทั้งค่าย จะเลือกกิน KFC เป็นโปรตีนจากสัตว์มื้อเกือบสุดท้ายของชีวิตบนพื้นราบ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้กักตุนขนมจากเซเว่นไว้เยอะเหมือนกัน ก็นางไอซ์ขู่เหลือเกินว่า บนรถไฟของแพงงงงงงงง โอเคเชื่อมันอีกรอบ ฮ่าๆๆ
ภาพรวมชาวค่ายก่อนออกเดินทาง (นางไอซ์คนกระเป๋าสีชมพูแรดๆ)
แล้วเราก็ออกเดินทางกันด้วยความแช่มชื่น ตื่นเต้นดี๊ด๊า เพราะไม่เคยนั่งรถไฟไปไกลขนาดนี้ ได้ข่าวว่าถึงอีกทีตอนประมาณ ตีห้าเช้ารุ่งขึ้น จากตอนนี้ประมาณเที่ยงๆ ตอนนั้นก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเบื่อไหม เพราะอารมณ์ตอนนั้นคือตื่นเต้นมากที่จะได้รู้จักกับคนใหม่ๆนู่นนี่นั่น ตื่นเต้นที่จะได้ไปใช้ชีวิตประหลาดกับคนแปลกหน้าด้วย
จั่นคนติสและเนยบนรถไฟและท้องทุ่งที่สดใส
กระปุกเด็กน้อยอารมณ์ดี
โดมและนางไอซ์
มายและข้าพเจ้าเอง
หลังจากรถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ พวกเราก็เม้ากับเพื่อนใหม่กันไปเรื่อยๆ พอเบื่อก็เริ่มหากิจกรรมอื่นทำ เช่นอ่านหนังสือ เป็นต้น ระหว่างทางมีของขายเยอะแยะไปหมด แล้วราคาก็ไม่ได้แพงมากกกก เหมือนที่นางไอซ์กล่าวด้วย! แต่ก็เอาเถอะซื้อตุนไว้ก็ถูกกว่าจริงๆนั่นแหละ มีไอติมสถานีหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นถานีอยุธยา คือทิพย์สปอยมากว่ามันอร่อย แล้วราคามันก็ถูกด้วย สุดท้ายไอติมนั่นก็ได้กินกันแทบทั้งค่าย
พอเริ่มเย็นๆก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองมันแผล็บ จนต้องขอทิชชู่เปียกจากน้องปริม บุคคลผู้นั่งตรงข้ามมาใช้บ้าง เป็นการใช้ทิชชู่เปียกครั้งแรกในชีวิต(อีกละ) มันก็ให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่นไม่เลวดีเหมือนกันนะ!
ลุงเดินขายน้ำแบบไม่รู้จักเหนื่อย
บนรถไฟมีห้องครัวด้วย เพิ่งเคยรู้ ลุงเค้าจะทำอาหารร้อนๆมาขายในเวลาที่เหมาะสม ประมาณว่าเดินมาตอนนี้คนต้องซื้อลุงแน่ๆ จะเป็นพวกข้าวต้ม แล้วอะไรอีกจำไม่ได้แล้ว ลุงจะเดินมาแล้วก็บอกว่า นี่จะหมดแล้วเซ็ตสุดท้าย แล้วทุกครั้งที่ลุงเดินผ่านไปมามันก็จะต้องมีคนซื้อลุงตลอด จนหมดเซ็ตนั้น ลุงก็จะมีอาหารเซ็ตใหม่ออกมา แล้วก็บอกว่าเป็นเซ็ตสุดท้าย.. แล้วพวกเราก็ขำๆกันไป คิดว่าลุงเค้าคงพูดขำๆนั่นแหละ แต่มันก็ได้ผลทุกที
เล่นไพ่สามก๊ก
เคยได้ยินมานานและอีไพ่สามก๊กกลยุทธ์เนี่ย เห็นเพื่อนที่อยู่นิติเล่นติดกันงอมแงม อยากจะรู้จริงๆว่ามันดีอย่างไร พอรู้ว่ามีคนเอามาเล่นด้วย(เอ)นี่ก็ตื่นเต้น อยากจะเล่นบ้าง พอดึกได้ที่ไม่มีไรทำ เอก็เอาไพ่สามก๊กออกมาเล่น รู้สึกว่ามันเป็นเกมส์ที่สนุกมาก ประเทืองปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เล่นไปได้สองรอบก็มีตำรวจรถไฟ ถามว่าเราเล่นไพ่อะไรกัน ประมาณว่าลุงเค้าซีเรียสมากว่าเราเล่นไพ่ จะถ่ายรูปส่งมหาลัย ข้าพเจ้าก็งงเล็กน้อย อยากจะอธิบายให้ลุงฟังมันคือไพ่สามก๊กลุง ไม่ใช่ป๊อกเด้ง อยากจะอธิบายวิธีการเล่นให้ลุงฟังนะ แต่ลุงดูจะไม่ฟังท่าเดียว แถวกว่าตัวเองจะเข้าใจเกมก็นานอยู่ ต้น(เชี่ย) ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เลยบอกให้เลิกเล่นเถอะเราเกะกะคนอื่น เวลาหลังจากนั้นทุกคนก็เลยหลับ...
.......แต่ปัญหาคือข้าพเจ้านอนไม่หลับไง ก็เลยได้เม้ากับต้องผู้นอนไม่หลับเหมือนกัน แต่เราก็พยายามนอนกัน เพราะชาวบ้านดูหลับกันอย่างมีความสุขเหลือเกิน แม้กระทั่งโดที่บ่นตลอดทางว่านอนไม่ค่อยหลับ แต่ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นคือ หลับและกรนอย่างมีความสุข...
ระหว่างทางรถไฟตอนกลางคืนมันก็เงียบๆดีเหมือนกัน มองไปบนท้องฟ้าก็เห็นดาว ลมก็พัดตีหน้าตลอดเวลา บางทีก็เป็นเวลาได้คิดอะไรกับตัวเองหลายๆอย่าง หลายๆเรื่อง ที่เวลาอยู่ในชีวิตที่วุ่นวายไม่มีโอกาสที่เราได้คิดอะไรจริงๆจังๆเลย
ตอนที่รถไฟเข้าถ้ำขุนตานเพื่อนคนอื่นๆก็ตื่นมาดูถ้ำเหมือนกัน บาสก็ตื่นขึ้นมาชมทางด้วยเป็นระยะ และยื่นหมอนให้ เพราะเห็นว่าข้าพเจ้านอนไม่หลับ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจมิรู้ลืมเลือน เพราะบาสก็มีเหมือนอยู่ใบเดียวยังจะมีน้ำใจแบ่งปันให้ฉันด้วย
ตอนตีสามมีป้าเดินมาขายข้าวเหนียวไก่ทอด คิดในใจใครมันจะไปกินอะไรลงตอนตีสาม แต่พอป้าเดินผ่านมา ต้องมันก็ซื้อไก่ทอดมากิน..... สงสัยว่าจะต้องการโปรตีนสะสมไว้ก่อน เพราะกลัวว่ากล้ามของตนเองจะหดเมื่อกลับลงมาจากดอย ประมาณตีห้าเราก็ถึงเชียงใหม่(ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้หลับเลย)
ถึงเชียงใหม่แว้ว
ขนของมาไว้ที่สถานีรถไฟ
ถึงเชียงใหม่แล้ว
พอมาถึงก็ขนของลง แยกย้ายกันไปอาบน้ำที่สถานีรถไฟ ข้าพเจ้าก็ได้พบกับแก้วอีกครั้ง หลังจากสอบเสร็จแก้วก็ขึ้นรถทัวร์ตามมา พร้อมกับแต่งตัวแบบที่มันเรียกว่า ชุดคนเชียงใหม่ แล้วเราก็ออกไปซื้อผักสำหรับประทังชีวิตบนดอย ที่กาด.. ที่ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้
ไปซื้อผักที่กาดกัน
เราขึ้นรถแดงสองคันไปซื้อผัก ไปไม่กี่คน บางส่วนที่เหลือก็เฝ้าของ กินข้าว พักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ตัวข้าพเจ้านั้นรู้สึกตื่นเต้นกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ เลยขอไปด้วย ไปช่วยแบกผักก็ยังดี และมีแก้วผู้ใจดีอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปด้วย เย้ๆๆๆ
ตอนเดินไปซื้อผักแก้วมันก็บ่นๆว่า
แก้ว : ทำไมคนเชียงใหม่ไม่เห็นแต่งชุดเชียงใหม่แบบที่มันแต่งมาเลย
ข้าพเจ้า : .......................
ก็คงจะเป็นเพราะคนเชียงใหม่เค้าก็แต่งตัวกันแบบมนุษย์ปกติไง เดินซื้อผักนี่สนุกมาก เพราะเราช่วยแบกผักอย่างเดียว ได้กินข้าวเหนียวมูลหน้าปลาแห้งที่แก้วซื้อมาแบ่งทุกๆคน คือดีงามมาก ไม่นึกเลยว่ามันจะอร่อย! ส่วนโดมจะเรียกร้องจะซื้อมะม่วง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ฮ่าๆๆ
พอกลับมาจากซื้อผัก ก็รู้สึกว่าง่วงได้ที่ ก็เลยได้นอนที่สถานีรถไฟเป็นครั้งแรก! อันนี้ไม่รู้สึกตื่นเต้นละ แต่ว่ารู้สึกง่วงมาก หลับไปแบบหลับไปเลยยย !!
ข้าพเจ้าและต้องนอนที่สถานีรถไฟเชียงใหม่!
ตอนนั้นมีสมาชิกมาเพิ่มอีกคนคือ วาว คือนางสวยมาก แล้วก็แบบมีอัธยาศัยดีงาม เราก็เลยได้รู้จักกันตอนแรก ณ สถานีรถไฟเชียงใหม่นั่นเอง
วันนี้ขี้เกียจพิมพ์ละ
โปรดติดตามชมตอนต่อไป...
ขอบคุณรูปภาพจากดนย์ประธานค่าย และจั่นคนติส
ถ่ายรูปสวยมากค่ะ ติดตามค่ะ :)
ตอบลบ