วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

เที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง



        สถานที่แห่งหนึ่งที่เราควรจะไปเที่ยวให้ได้สักครั้งในชีวิตฉันคิดว่าน่าจะเป็นที่ภูกระดึง ยิ่งตอนหน้าหนาวด้วยแล้ว ที่ภูกระดึงนี่จะหนาวมาก ใบเมเปิ้ลก็งามงด  ถ้าอยากสัมผัสอากาศหนาวพร้อมกับภูมิประเทศที่แอดเวนเจอร์สุดๆ เราขอแนะนำให้รีบมา ก่อนที่จะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยนะจ๊ะ งบประมาณในการมาเที่ยวครั้งนี้อยู่ที่ 3500 บาท แถมใช้ไม่หมดด้วย เนื่องจากงกสุดๆ
                เริ่มต้นออกเดินทางไปภูกระดึง



                การเดินทางไปภูกระดึงครั้งนี้เป็นเราออกเดินทางวันพฤหัสบดีตอนเย็น และกลับในวันอาทิตย์ โดยขึ้นรถจากหมอชิต ไปลงที่ผานกเค้า เราได้รอบมา22.30 ถึงตอนประมาณ หกโมงเช้า ค่ารถทัวร์ ราคา 391 บาท โดยครั้งนี้เราเดินทางไปกัน 3 คน พอถึงกลางทางรถก็จะจอดกลางทางให้เราไปซื้ออะไรกิน มูลค่า 25 บาท ซึ่งสิ่งที่ฉันได้มาได้แก่ข้าวเหนียวหมู ซึ่งกักตุนกะว่าไว้กินตอนปีนขึ้นภู
                               ผานกเค้า
รูปภาพจาก http://www.sadoodta.com

                เวลาประมาณหกโมงเช้าเราก็เดินทางมาถึงผานกเค้า ตอนแรกก็แอบสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่าผานกเค้า พอมาถึงก็เห็นผาๆนึงหน้าตาคล้ายนกอะไรสักอย่างกางปีกอยู่ เลยสันนิษฐานว่ามันคงใช่อ่ะมั้ง เค้าเลยเรียกว่าผานกเค้า พอลงรถมาฝั่งตรงข้ามจะมีร้านเจ๊กิมเปิดอยู่ ให้เราไปนอนรอ ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำ เตรียมความพร้อมเพื่อไปปีนภูต่อไป
                แต่พวกเรานั้นหาได้เข้าร้านเจ๊กิมไม่ เนื่องจากความติสของเพื่อนสองคน เราจึงเลือกไปแปรงฟันเข้าห้องน้ำที่สถานีตำรวจข้างๆแทน สงสัยเพราะเงียบไม่มีคน เพื่อนติสๆทั้งสองของฉันจึงเลือกไปที่นั่น และฉันก็หาได้มีทางเลือกอื่นใดไม่นอกจากไปกับพวกมัน หลังจากนั้นเราก็ไปหาซื้อหมวกและถุงมือกันหนาวฝั่งตรงข้าม เนื่องจากตอนนั้นมันหนาวมาก เราเลยคิดว่าควรหาวิธีป้องกันตัวเองจากความหนาวให้มากที่สุด ฮ่าๆ

                จากนั้นเราก็เดินทางไปตีนภูโดยรถสองแถวหน้าร้านเจ๊กิม เก็บคนละ 30 บาทถ้วน อยากบอกว่าตอนรถมันวิ่งนี่นะหนาวสุดๆๆ อย่าลืมป้องกันตนเองจากความหนาวให้ดี
                ถึงตีนภู-เช่าเต้นท์-จ้างลูกหาบ
                เมื่อเราเดินทางมาถึงตีนภูเราก็พบกับคนจำนวนมากต่อแถวซื้อบัตรขึ้นภูราคา 40 บาท จากการสำรวจคร่าวๆของฉันแล้วพบว่า มีคนหน้าตาดีทั้งขายและหญิงมาเที่ยวจำนวนมาก ดิฉันจึงไม่แปลกใจเลยว่ามีคู่รักหลายคู่มาเจอกันบนภูกระดึงนี้ จริงๆก็แอบตั้งภาระกิจไว้ในใจว่าอยากรู้จักเพื่อนใหม่ที่มาเที่ยว นี่คืออยากหาเพื่อนใหม่จริงๆนะไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง ฮี่ๆๆ
                อัตราค่าเช่าเต้นท์ที่ภูกระดึง
                ค่าเช่าเต้นท์อุทยานอยู่ที่ 225 บาท ต่อเต้นท์สามคน ต่อคืน
                แบบโดม 5-6 คน 450 บาทต่อคืน
                เต้นท์ยกพื้น 5 คน 500 บาทต่อคืน
                ทั้งนี้เราต้องจ่ายเช่ามาเช่าพื้นที่ด้วยคนละ 30 บาทต่อคืน  ถ้าสมมติเราเอาเต้นท์มากางเองเราก็จะเสียแค่ 30 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเอง แต่ต้องแบกเต้นท์ขึ้นไปเองหรือจ้างลูกหาบ กิโลกรัมละ 30 บาท แต่เต้นท์ที่อุทยานเค้ามีให้นี่ดีมากๆ กว้างใหญ่ไพศาลมากจริงๆ



ปีนภูกระดึงกันเถอะ
                หลังจากพวกเราทำธุรกรรมทางการเงินเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องปีนขึ้นไป เฮ้! เราฟิตร่างกายมาเพื่อสิ่งนี้เลยทีเดียว เริ่มต้นปีนขึ้นภูประมาณ เจ็ดโมงนิดๆ ซึ้งเค้าให้เริ่มต้นปีนขึ้นภูตอนเจ็ดโมง


นี่คือภาพทางขึ้นภู มีนักท่องเที่ยวมากมายมารอขึ้นภูกันแต่เช้า


และนี่คือซำต่างๆที่เราต้องเผชิญกันในวันนี้ ดูแล้วก็เอิ่ม.. หนทางมันยาวไกลมากทีเดียว กว่าจะถึงหลังแป

                เราเดินปีนขึ้นไปกันเรื่อยๆด้วยความมุ่งมั่น หวังว่าจะถึงหลังแปก่อน 11 โมงเช้าเพื่อโชว์พลังความฟิตของพวกเรา แต่พอปีนไปถึงซำแรกคือซำแฮก เราถึงกับต้องพักผ่อนรับประทานอาหารเช้าสักหน่อย มันเหนื่อยมากจริงๆ ขึ้นมาถึงแล้วต้องหอบแฮ่กๆ  ซึ่งเพื่อนสาวของฉันคนหนึ่งถึงกับต้องหยิบยานวดมานวดเลยทีเดียว


                เราแวะรับประทานอาหารเช้ากันที่นี่ และแวะถ่ายรูปด้วยแก้เมื่อย บนซำแต่ละซำก็มีของขายตลอดทาง ซึ่งราคาของที่ขายจะแพงขึ้นเรื่อยๆตามระดับน้ำทะเลนะจ๊ะ

                เรานั้นก็เดินไปด้วย ถ่ายรูปไปด้วยตลอดทาง ต่อจากซำแฮ่กก็ไม่มีซำใดโหดเท่านั้นอีกแล้ว นอกจาก.. ก่อนขึ้นไปถึงหลังแป ซึ่งมีภูมิประเทศที่สูงชันยิ่งนัก วกเราต้องใช้ทักษะการปีนป่ายเฉพาะตนขั้นสูงในการเอาชนะอุปสรรคครั้งนี้ เดชะบุญที่เราฝากของไปกับลูกหาบ มิฉะนั้นเราอาจได้นอนที่ซำแฮกก็เป็นได้ ต้องขอขอบพระคุณที่มีคุณพี่ลูกหาบบนโลกใบนี้จริงๆ  ที่ทำให้ผู้หญิงตัวน้อยๆบอบบางอย่าเรา ได้มีโอกาสขึ้นไปเที่ยวชมภูมิประเทศอันงดงามบนภูกระดึง

                หลังจากที่เราฝันฝ่าอุปสรรคมานานัปการ ไม่ว่าจะเป็นทางลาดชัน ซอกหินอันคับแคบ บันไดที่สูงชันน่าหวาดเสียว ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงหลังแปในเวลาประมาน 12.00 . ถึงแม้จะช้ากว่ากำหนดการไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่ก็ถือได้ว่าวกเรามีความแข็งแรงเป็นยิ่งนัก แต่ภาระกิจการทำความรู้จักเพื่อนใหม่บนภูก็ยังมิสำเร็จลุล่วงแต่อย่างใด ฉันเดินไปถึงหลังแปด้วยความกังวลใจเกี่ยวกับภารกิจส่วนตนของฉัน ฮ่าๆๆๆๆ

                พอถึงหลังแปเราก็เจอน้องที่คณะที่น้องเค้ารู้จักเรา แต่เราไม่รู้จักน้องเค้า ก็เลยให้น้องถ่ายรูปให้หนึ่งแชะ ซึ่งตรงข้ามกับที่พวกเราถ่ายรูปนั้นคือป้าย "..ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง.." แต่คนต่อคิวถ่ายเยอะเหลือเกิน ด้วยความติส พวกเราเลยคิดว่าค่อยมาถ่ายวันหลัง จะถ่ายวันไหนมันก็เหมือนกัน
                การเดินบนหลังแป


                ฉันรู้สึกตื่นตะลึงกับทิวทัศน์อันงดงามบนหลังแป ซึ่งเปลี่ยนจากป่าเบญจพรรณข้างล่าง มาเป็นป่าดิบเขา ทำให้พืชพรรณที่อยู่บนนี้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นสนและเฟิร์นที่หาได้ยากยิ่งที่ข้างล่างภู ทำให้ฉันหวนนึกถึงการเรียนพฤกษศาสตร์เมื่อครั้งสมัยม.ปลาย คิดๆดูแล้วชีวิตเราก็ผ่านมาไวเหลือเกิน (นี่ระลึกความหลังยังกะคนแก่)

ที่เข็นรถด้านหลังคือคุณพี่ลูกหาบผู้แข็งแรงของวกเราที่เข็ญรถจากหลังแปไปวังกวาง(สถานที่กางเต้นท์)

                จากภาพคือใบอ่อนของเฟิร์นม้วนงอคล้ายลานนาฬิกา (circinate vernation) ข้าพเจ้าได้โชว์สกิลพฤกษศาสตร์ให้เพื่อนๆได้ตกตะลึง หลึงจากพวกมันเฝ้าถามว่าอีม้วนๆนี่คืออะไร
                เราเดินไปด้วยใจมีความหวังว่าจะถึงวังกวางสถานที่กางเต้นท์ของพกเราโดยไว แต่ยิ่งเดินมันก็ไม่ถึงสักทีเริ่มหิวข้าวเที่ยง เลยหยิบข้าวเหนี่ยวหมูจากรถทัวร์มากิน รู้สึกว่ามันอร่อยล้ำเกินคำบรรยาย พวกเราเดินไปใจก็สงสัยไปว่า.. เมื่อไหร่มันจะถึงวะ ฉับพลันทันใดหูอันไวของฉันได้ยินลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปพูดกับลูกชายว่า "อีก 12 กิโลลูก" ฉันรู้สึกตกตะลึงพึงเพริด และอยากจะปีนลงภูเดี๋ยวนั้น แต่ช้าก่อนเราะเรามีความรอบคอบดีจึงเปิดภาแผนที่ดู ประกฎว่าประมาณ 1200 เมตร ซึ่งลุงคนนั้นอาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป แต่ก็เป็นที่น่าชื่นชมว่า แม้ลุงจะคิดว่า 12 กิโล แต่ก็เดินไปด้วยแววตาอันมุ่งมั่น
                ระหว่างทางเราก็ชมทิวทัศน์ไปด้วย ถือคติที่ว่า life is journey not a destination ก็เลยค่อยๆเดินดีกว่า ปล่องให้ลุง 12 กิโลแกจ้ำไปก่อน เราพบกับผีเสื้อไม่กลัวคนนานาพรรณมากมาย สงสัยผีเสื้อที่นี่มีความหลากหลายทางชีวภาพจริงๆ


เป็นอย่างไร งดงามหรือไม่


วังกวาง
                                หลังจากพากเพียรเดินมาสักพักใหญ่ๆในที่สุดเราก็เดินมาถึงวังกวางจนได้ เราเข้าไปทำเรื่องจากจองเต้น ถุงนอน หมอน ผ้าห่มให้เรียบร้อย ย้ายเข้าเต้นท์ และนอนพักตามอัธยาศัย


                เนื่องจากเราเมื่อยล้ามาก เราจึงพักผ่อนในวันนี้ โดยการนอนพัก จัดข้าวของภายในเต้นท์ เก็บข้าวของอาบน้ำ เตรียมตัวกันหนาวตามอัธยาศัย เพื่อต้อนรับกลางคืนอันหนาวเหน็บ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น