สถานที่แห่งหนึ่งที่เราควรจะไปเที่ยวให้ได้สักครั้งในชีวิตฉันคิดว่าน่าจะเป็นที่ภูกระดึง ยิ่งตอนหน้าหนาวด้วยแล้ว ที่ภูกระดึงนี่จะหนาวมาก ใบเมเปิ้ลก็งามงด ถ้าอยากสัมผัสอากาศหนาวพร้อมกับภูมิประเทศที่แอดเวนเจอร์สุดๆ เราขอแนะนำให้รีบมา ก่อนที่จะสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยนะจ๊ะ งบประมาณในการมาเที่ยวครั้งนี้อยู่ที่ 3500 บาท แถมใช้ไม่หมดด้วย เนื่องจากงกสุดๆ
เริ่มต้นออกเดินทางไปภูกระดึง
การเดินทางไปภูกระดึงครั้งนี้เป็นเราออกเดินทางวันพฤหัสบดีตอนเย็น
และกลับในวันอาทิตย์ โดยขึ้นรถจากหมอชิต ไปลงที่ผานกเค้า เราได้รอบมา22.30 ถึงตอนประมาณ
หกโมงเช้า ค่ารถทัวร์ ราคา 391 บาท โดยครั้งนี้เราเดินทางไปกัน 3 คน
พอถึงกลางทางรถก็จะจอดกลางทางให้เราไปซื้ออะไรกิน มูลค่า 25 บาท
ซึ่งสิ่งที่ฉันได้มาได้แก่ข้าวเหนียวหมู ซึ่งกักตุนกะว่าไว้กินตอนปีนขึ้นภู
เวลาประมาณหกโมงเช้าเราก็เดินทางมาถึงผานกเค้า
ตอนแรกก็แอบสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่าผานกเค้า
พอมาถึงก็เห็นผาๆนึงหน้าตาคล้ายนกอะไรสักอย่างกางปีกอยู่
เลยสันนิษฐานว่ามันคงใช่อ่ะมั้ง เค้าเลยเรียกว่าผานกเค้า
พอลงรถมาฝั่งตรงข้ามจะมีร้านเจ๊กิมเปิดอยู่ ให้เราไปนอนรอ ล้างหน้าแปรงฟัน
เข้าห้องน้ำ เตรียมความพร้อมเพื่อไปปีนภูต่อไป
แต่พวกเรานั้นหาได้เข้าร้านเจ๊กิมไม่ เนื่องจากความติสของเพื่อนสองคน เราจึงเลือกไปแปรงฟันเข้าห้องน้ำที่สถานีตำรวจข้างๆแทน สงสัยเพราะเงียบไม่มีคน เพื่อนติสๆทั้งสองของฉันจึงเลือกไปที่นั่น และฉันก็หาได้มีทางเลือกอื่นใดไม่นอกจากไปกับพวกมัน หลังจากนั้นเราก็ไปหาซื้อหมวกและถุงมือกันหนาวฝั่งตรงข้าม เนื่องจากตอนนั้นมันหนาวมาก เราเลยคิดว่าควรหาวิธีป้องกันตัวเองจากความหนาวให้มากที่สุด ฮ่าๆ
แต่พวกเรานั้นหาได้เข้าร้านเจ๊กิมไม่ เนื่องจากความติสของเพื่อนสองคน เราจึงเลือกไปแปรงฟันเข้าห้องน้ำที่สถานีตำรวจข้างๆแทน สงสัยเพราะเงียบไม่มีคน เพื่อนติสๆทั้งสองของฉันจึงเลือกไปที่นั่น และฉันก็หาได้มีทางเลือกอื่นใดไม่นอกจากไปกับพวกมัน หลังจากนั้นเราก็ไปหาซื้อหมวกและถุงมือกันหนาวฝั่งตรงข้าม เนื่องจากตอนนั้นมันหนาวมาก เราเลยคิดว่าควรหาวิธีป้องกันตัวเองจากความหนาวให้มากที่สุด ฮ่าๆ
จากนั้นเราก็เดินทางไปตีนภูโดยรถสองแถวหน้าร้านเจ๊กิม
เก็บคนละ 30 บาทถ้วน อยากบอกว่าตอนรถมันวิ่งนี่นะหนาวสุดๆๆ
อย่าลืมป้องกันตนเองจากความหนาวให้ดี
ถึงตีนภู-เช่าเต้นท์-จ้างลูกหาบ
เมื่อเราเดินทางมาถึงตีนภูเราก็พบกับคนจำนวนมากต่อแถวซื้อบัตรขึ้นภูราคา
40 บาท จากการสำรวจคร่าวๆของฉันแล้วพบว่า
มีคนหน้าตาดีทั้งขายและหญิงมาเที่ยวจำนวนมาก
ดิฉันจึงไม่แปลกใจเลยว่ามีคู่รักหลายคู่มาเจอกันบนภูกระดึงนี้ จริงๆก็แอบตั้งภาระกิจไว้ในใจว่าอยากรู้จักเพื่อนใหม่ที่มาเที่ยว
นี่คืออยากหาเพื่อนใหม่จริงๆนะไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝง ฮี่ๆๆ
อัตราค่าเช่าเต้นท์ที่ภูกระดึง
ค่าเช่าเต้นท์อุทยานอยู่ที่
225 บาท ต่อเต้นท์สามคน ต่อคืน
แบบโดม 5-6 คน 450 บาทต่อคืน
เต้นท์ยกพื้น 5 คน 500 บาทต่อคืน
ทั้งนี้เราต้องจ่ายเช่ามาเช่าพื้นที่ด้วยคนละ
30 บาทต่อคืน
ถ้าสมมติเราเอาเต้นท์มากางเองเราก็จะเสียแค่ 30 บาทต่อคนต่อคืนเท่านั้นเอง
แต่ต้องแบกเต้นท์ขึ้นไปเองหรือจ้างลูกหาบ กิโลกรัมละ 30 บาท
แต่เต้นท์ที่อุทยานเค้ามีให้นี่ดีมากๆ กว้างใหญ่ไพศาลมากจริงๆ
ปีนภูกระดึงกันเถอะ
หลังจากพวกเราทำธุรกรรมทางการเงินเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องปีนขึ้นไป
เฮ้! เราฟิตร่างกายมาเพื่อสิ่งนี้เลยทีเดียว เริ่มต้นปีนขึ้นภูประมาณ
เจ็ดโมงนิดๆ ซึ้งเค้าให้เริ่มต้นปีนขึ้นภูตอนเจ็ดโมง
เราเดินปีนขึ้นไปกันเรื่อยๆด้วยความมุ่งมั่น
หวังว่าจะถึงหลังแปก่อน 11 โมงเช้าเพื่อโชว์พลังความฟิตของพวกเรา
แต่พอปีนไปถึงซำแรกคือซำแฮก เราถึงกับต้องพักผ่อนรับประทานอาหารเช้าสักหน่อย
มันเหนื่อยมากจริงๆ ขึ้นมาถึงแล้วต้องหอบแฮ่กๆ
ซึ่งเพื่อนสาวของฉันคนหนึ่งถึงกับต้องหยิบยานวดมานวดเลยทีเดียว
เราแวะรับประทานอาหารเช้ากันที่นี่
และแวะถ่ายรูปด้วยแก้เมื่อย บนซำแต่ละซำก็มีของขายตลอดทาง ซึ่งราคาของที่ขายจะแพงขึ้นเรื่อยๆตามระดับน้ำทะเลนะจ๊ะ
เรานั้นก็เดินไปด้วย
ถ่ายรูปไปด้วยตลอดทาง ต่อจากซำแฮ่กก็ไม่มีซำใดโหดเท่านั้นอีกแล้ว นอกจาก.. ก่อนขึ้นไปถึงหลังแป
ซึ่งมีภูมิประเทศที่สูงชันยิ่งนัก
วกเราต้องใช้ทักษะการปีนป่ายเฉพาะตนขั้นสูงในการเอาชนะอุปสรรคครั้งนี้
เดชะบุญที่เราฝากของไปกับลูกหาบ มิฉะนั้นเราอาจได้นอนที่ซำแฮกก็เป็นได้ ต้องขอขอบพระคุณที่มีคุณพี่ลูกหาบบนโลกใบนี้จริงๆ ที่ทำให้ผู้หญิงตัวน้อยๆบอบบางอย่าเรา
ได้มีโอกาสขึ้นไปเที่ยวชมภูมิประเทศอันงดงามบนภูกระดึง
หลังจากที่เราฝันฝ่าอุปสรรคมานานัปการ
ไม่ว่าจะเป็นทางลาดชัน ซอกหินอันคับแคบ บันไดที่สูงชันน่าหวาดเสียว
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงหลังแปในเวลาประมาน 12.00 น.
ถึงแม้จะช้ากว่ากำหนดการไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
แต่ก็ถือได้ว่าวกเรามีความแข็งแรงเป็นยิ่งนัก แต่ภาระกิจการทำความรู้จักเพื่อนใหม่บนภูก็ยังมิสำเร็จลุล่วงแต่อย่างใด
ฉันเดินไปถึงหลังแปด้วยความกังวลใจเกี่ยวกับภารกิจส่วนตนของฉัน ฮ่าๆๆๆๆ
พอถึงหลังแปเราก็เจอน้องที่คณะที่น้องเค้ารู้จักเรา
แต่เราไม่รู้จักน้องเค้า ก็เลยให้น้องถ่ายรูปให้หนึ่งแชะ ซึ่งตรงข้ามกับที่พวกเราถ่ายรูปนั้นคือป้าย
"..ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง.."
แต่คนต่อคิวถ่ายเยอะเหลือเกิน ด้วยความติส พวกเราเลยคิดว่าค่อยมาถ่ายวันหลัง
จะถ่ายวันไหนมันก็เหมือนกัน
จากภาพคือใบอ่อนของเฟิร์นม้วนงอคล้ายลานนาฬิกา
(circinate vernation) ข้าพเจ้าได้โชว์สกิลพฤกษศาสตร์ให้เพื่อนๆได้ตกตะลึง
หลึงจากพวกมันเฝ้าถามว่าอีม้วนๆนี่คืออะไร
เราเดินไปด้วยใจมีความหวังว่าจะถึงวังกวางสถานที่กางเต้นท์ของพกเราโดยไว
แต่ยิ่งเดินมันก็ไม่ถึงสักทีเริ่มหิวข้าวเที่ยง
เลยหยิบข้าวเหนี่ยวหมูจากรถทัวร์มากิน รู้สึกว่ามันอร่อยล้ำเกินคำบรรยาย
พวกเราเดินไปใจก็สงสัยไปว่า.. เมื่อไหร่มันจะถึงวะ ฉับพลันทันใดหูอันไวของฉันได้ยินลุงคนหนึ่งเดินผ่านไปพูดกับลูกชายว่า
"อีก 12 กิโลลูก" ฉันรู้สึกตกตะลึงพึงเพริด และอยากจะปีนลงภูเดี๋ยวนั้น
แต่ช้าก่อนเราะเรามีความรอบคอบดีจึงเปิดภาแผนที่ดู ประกฎว่าประมาณ 1200 เมตร ซึ่งลุงคนนั้นอาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป
แต่ก็เป็นที่น่าชื่นชมว่า แม้ลุงจะคิดว่า 12 กิโล
แต่ก็เดินไปด้วยแววตาอันมุ่งมั่น
ระหว่างทางเราก็ชมทิวทัศน์ไปด้วย
ถือคติที่ว่า life is journey not a destination
ก็เลยค่อยๆเดินดีกว่า ปล่องให้ลุง 12 กิโลแกจ้ำไปก่อน
เราพบกับผีเสื้อไม่กลัวคนนานาพรรณมากมาย สงสัยผีเสื้อที่นี่มีความหลากหลายทางชีวภาพจริงๆ
วังกวาง
หลังจากพากเพียรเดินมาสักพักใหญ่ๆในที่สุดเราก็เดินมาถึงวังกวางจนได้
เราเข้าไปทำเรื่องจากจองเต้น ถุงนอน หมอน ผ้าห่มให้เรียบร้อย ย้ายเข้าเต้นท์
และนอนพักตามอัธยาศัย
เนื่องจากเราเมื่อยล้ามาก
เราจึงพักผ่อนในวันนี้ โดยการนอนพัก จัดข้าวของภายในเต้นท์ เก็บข้าวของอาบน้ำ
เตรียมตัวกันหนาวตามอัธยาศัย เพื่อต้อนรับกลางคืนอันหนาวเหน็บ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น