วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

เที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง 2

ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น

                เช้าวันต่อมาหลังจากเราพักผ่อนนอนในเต็นท์กันอย่างสบายใจ เพื่อนฉันก็ตื่นขึ้นมาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น โดยเจ้าหน้าที่จะนัดคนที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตอนตี 5 ให้มาพร้อมกันแล้วเจ้าหน้าที่จะพาไป เช้าวันนั้นฉันขี้เกียจตื่นจึงบอกให้เพื่อนไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันตามอัธยาศัย แล้วก็กลับมาพร้อมกับภาพที่ทำให้ฉันต้องรู้สึกอิดฉานิดๆ


พระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น


เตรียมตัวออกเดินทางบนภูกระดึง
                หลังจากฉันตื่นเช้าขึ้นมาฉันก็ไปซื้อแผนที่ ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในราคา 10 บาทเพื่อวางแผนการเดินทางของเราในวันนี้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานที่มีให้เช่าในราคา 350 บาท แต่ว่าไม่สามารถไปได้ทุกที่ เราจึงเลือกการเดินเท้าแทน ดูจากแผนที่แล้วก็ราวๆ 20 กิโลเมตรเลยทีเดียวที่เราต้องเดินกันวันนี้ แต่ไม่เป็นไรเพราะพวกเราแข็งแรงมาก !


แผนที่การเดินทาง ที่เราตั้งใจจะเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปผาหล่มสักแล้วกลับมายังเต็นท์พัก
รูปภาพจาก http://www.pai-nok.com/default.aspx?tabid=88&g=posts&t=5549

เดิน เดิน เดิน

ข้าพเจ้าพร้อมสัมภาระ และหน้าตาการตั้งใจจดสิ่งที่พบเห็น

          เราออกเดินทางพร้อมกระเป๋าสะพาย และเสบียงที่หอบหิ้วมาจากบ้าน ด้วยความเริงร่าสุขสันต์ เราเริ่มต้นกันที่น้ำตกวังกวาง และเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ที่จะพบน้ำตกเป็นระยะ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันชอบมากก็คือ ตลอดทางเหมือนมีเราเดินกันอยู่สามคน ฉันก็แอบแปลกใจเล็กๆว่าคนหายไปไหนกันหมด?  ได้แต่เดาเอาเองว่าสงสัยเพราะเราเดินเร็วกว่าชาวบ้านล่ะมั้ง เราแวะหยุดถ่ายภาพกันเป็นระยะถี่ๆ



ออกเดินทางกันสามคน


ภูมิประเทศที่งดงาม
ใบเมเปิ้ลสีแดงที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่



               สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ บนภูที่คนต้องดูให้ได้เลยคือ ใบเมเปิ้ลสีแดง ฉันเจอใบเมเปิ้ลสีแดงที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ ฉันรู้สึกว่ามันสวยมาก นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันจะต้องมาเจอให้ได้บนภูกระดึงนอกจากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่


น้ำตกต่างๆ ฤดูนี้น้ำไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ยังสวยอยู่ดี



ที่นี่มอสเยอะมาก แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์


มอสสวยด้วยมือเรา?


ใบเมเปิ้ลที่ลอยอยู่ในน้ำ


รู้สึกหลงรักใบเมเปิ้ลสีแดง

น้ำตกพ่วงพบ
                น้ำตกพ่วงพบที่ไม่มีในแผนที่ที่ซื้อมา อาจเป็นเพราะมันอยู่ติดๆกับน้ำตกที่มีในแผนที่ แต่พอมาเจอโดยบังเอิญก็แอบเซอไพร้อยู่เหมือนกัน เหมือนได้เที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งที่


น้ำใสไหลเย็น


น้ำตกเย็นๆ


ระหว่างทางที่เดินผ่าน


เดินผ่านอีกรูป
สระอโนดาด

            อีกที่หนึ่งที่ถ่ายรูปแล้วสวยมากคือ สระอโนดาด ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะบอกว่ามันไม่ค่อยมีน้ำ แต่ฉันว่ามันก็ยังสวยอยู่ดี วิวท้องฟ้าที่มองเห็นไปไกลๆ น้ำใสๆเย็นๆ ต้นไม้เป็นฉากหลังมองแล้วมันชวนรู้สึกอยากจะลอยจริงๆ แอบนึกว่าตัวเองเป็นกินรีที่พรานบุญมาพบที่สระอโนดาดเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่เรายังพักด้วยการเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆ ให้หายเมื่อยก่อนออกเดินทางต่อ




เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ณ สระอโนดาด


กินรีที่สระอโนดาด


พบลูกสนจำนวนมาก


น้ำตกถ้ำสอเหนือ

              หลังจากเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกสุดท้ายก่อนจะมุ่งหน้าไปผาหล่มสัก ซึ่งน้ำตกนี้เรียกได้ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดเลยก็ได้ ในความรู้สึกของฉันเอง มองไปก็พลางจินตนาการไปว่า ถ้าหน้าที่น้ำเยอะมันคงสวยอลังการมากจริงๆ

มุ่งหน้าสู่ผาหล่มสัก

               หลังจากพักรับประทานอาหารเสบียงสุดแสนอร่อยที่พกมาจากบ้านแล้ว เราก็ถึงเวลาเดินไปสู้ผาหล่มสักสถานที่สุดชิค สำหรับการนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินของคนส่วนใหญ่ จากน้ำตกถ้ำสอเหนือไปผาหล่มสักนี่ถือว่าไกลมากทีเดียว  สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นวิวป่าเฟิร์น ต้นสนสูงๆ แล้ะท้องฟ้าที่สุดใส ถูกใจฉันมากทีเดียวเชียว พื้นที่เดินก็เป็นพื้นทราย สิ่งที่เราทำกันได้ตอนนี้มีแต่เดิน และชมความงามของสองข้างทางเท่านั้น
                ในใจของเราก็คิดว่าเมื่อไหร่มันจะถึง เราจึงตัดสินใจนั่งพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง พร้อมกับอมฮอลคนละเม็ด เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้แก่ตัวเอง และสนทนาพาทีกันไป


                 พักเหนื่อยได้สักครู่เราก็ออกเดินทางกันต่อโดยมีปณิธานขำๆในใจว่า  "เราจะต้องเดินไปถึงผาหล่มสักก่อนที่ลูกอมเม็ดนี้จะหมดเม็ดให้ได้"
                เรามุ่งหน้าเดินต่อไป.. แล้วก็เห็นร้านค้าอยู่ลิบๆ ฉันรีบเดินเข้าไปถามรานค้าด้วยความตื่นเต้น  "ที่นี่ที่ไหนคะ" แล้วคำตอบที่ฉันได้รับกลับมาก็ทำให้ฉันแทบกรี๊ดดดดด เพราะว่าฉันยังกินลูกอมไม่หมดเลย นี่มันเรื่องมหัศจรรย์ชัดๆ เราถึงแล้ผาหล่มสัก!
ผาหล่มสัก
                เราแวะพักกินน้ำแข็งใสเย็นๆที่ผาหล่มสัก มันช่างเป็นน้ำแข็งใสที่ชื่นนนนนนนนใจมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งเย็นทั้งหวาน เรากินอาหารอื่นๆจนที่เป็นที่พอใจ ส่วนราคาก็แพงจากข้างล่างปกติประมาณ 3 เท่า บางอย่างก็ไม่ถึง เช่น ส้มตำราคา 60 บาท แต่มันอร่อยนะ
                จากนั้นเราก็เดินไปเยี่ยมชมผาหล่มสัก หาที่ถ่ายรูปเพื่อที่คนอื่นบนโลกนี้เห็นรูปเราจะได้รู้ว่า เรามาถึงแล้ว! พวกเราถ่ายรูปกันสักแสนรูปเห็นจะได้ มองลงไปจากผานี่เสียวมากๆ
                ถ้าเรามาภูกระดึงแต่มาไม่ถึงผาหล่มสักอาจจะเรียกได้ว่า มาไม่ถึงภูกระดึงเลยทีเดียว

ภาพที่ผาหล่มสัก


ผาหล่มสัก


ภาพความทรงจำของเราสามคน

                โดยธรรมดาสามัญของมนุษย์ปกติแล้วจะนิยมชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก อาจเป็นเพราะมันเป็นทีที่วิวสวยที่สุด จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาเดินทางกลับพร้อมไฟฉาย ถึงเต็นท์ประมาณสามทุ่ม แต่พวกเราหาใช่มนุษย์ปกติไม่ พอเหลือบมองนาฬิกา คุณพระคุณเจ้านี่มันเพิ่งจะบ่ายโมงกว่า เกือบๆบ่ายสอง หากขืนปล่อยให้เรารอประอาทิตย์ตก คงเฉาตายเป็นแน่เท้ เราจึงตัดสินใจเดินกลับแล้วคิดว่า พระอาทิตย์ตกที่ไหนก็ดูมันที่นั่นนั่นแหละ
ผาอื่นๆ
                ระหว่างทางกลับเราจะพบกับผาต่างๆมากมาย ทางเดินส่วนใหญ่ก็จะเป็นทราย  ข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสะวันน่า(มโนเอาเอง) แต่ขากลับเป็นอะไรไม่รู้ รู้สึกเริงใจจัง คุยกับเพื่อนหัวเราะขำๆ พร้อมกับมีไอเดืยว่า เราจะมาทำแคปซูลเวลาไว้มาเปิดอีกสิบปีข้างหน้าที่ภูกระดึงด้วยกัน


ทุ่งหญ้าสะวันน่าที่ฉันกล่าวถึง



ดอกหญ้าริมทาง


ต้นอะไรก็ไม่รู้เหมือนลูกสนเลย


หน้าผาอื่นๆที่จำชื่อไม่ได้แล้ว


ที่นี่คือผาเหยียบเมฆ โฮะๆๆ

พระอาทิตย์ตกที่ผาส่วนตัว

                เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกเต็มที ตอนแรกตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ว่าเดินไปไม่ทัน ก็เลยนั่งแวะที่ผาไม่มีชื่อ ที่ไม่มีคนอยู่ แต่ว่าภาพที่เรามองไปมันสวยมาก ฉันรู้สึกถึงลมที่พัดผ่าน เสียงใบไม้ไหว เสียงลม ฉันสัมผัสได้ถึงความสงบ กลิ่นลมหอมๆที่ฉันสัมผัสถึง... ฉันมีความสุขและไม่อยากจากไปไหน



                 ฉันถามกับเพื่อนที่นั่งข้างๆว่า "ทำไมท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ตกมันถึงสวยจัง" ... เพื่อนฉันตอบกลับมาว่า "เพราะมันเป็นสีที่มนุษย์ระบายไม่ได้.."
                ฉันนั่งมองพระอาทิตย์ตก..  พระอาทิตย์ค่อยๆตกพร้อมกับอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องหยิบเสื้อกันหนาวขึ้นมาใส่ วันนั้นเรากลับไปที่เต็นท์พร้อมกับขาที่เมื่อยล้า
อาหารเย็นบนภูกระดึง
                อาบน้ำสู้กับอากาศหนาวเสร็จเรียบร้อย เราต้องรีบเดินไปที่ร้านอาหารที่ที่จะให้ความอบอุ่นแก่เรา วันนี้มีบอล คนบนภูพร้อมใจมานั่งเชียบอลกันด้วยความสามัคคี ขนาดฉันไม่ดูบอลยังรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยเลย


คนดูบอลที่จอหนังกลางแปลง

                ฉันเข้าไปในร้านข้าวและเร่งเร้าป้าให้เอาน้ำชาร้อนๆมาให้ด่วน เพราะฉันหนาวมากและต้องการน้ำร้อนมาช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น อาหารบนนี้ก็ราคาประมาณ 50-60 บาท 

สุกี้น้ำ


โจ้กหมูใส่ไข่


ไข่กระทะ


มันหนาวมาก


การดื่มน้ำชาของเรา นี่มันเหมือนหนังจีนไม่มีผิด


              เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของน้องซันเพื่อนร่วมทาง เราจึงต้องหอบหิ้วโดนัทมาด้วย(น้องซันหิ้วมาเอง) พอโดนัทมันมาอยู่บนภูแล้วมันช่างมีค่ามากมายมหาศาลเหลือเกิน 


               บนนี้มีกวางด้วยนะ กวางอ้วนมากทีเดียว แอบเป็นห่วงว่ากางจะได้กินอาหารที่ถูกต้องหรือเปล่า? อาหารที่นักท่องเที่ยวป้อนให้มัน จะถูกกับธรรมชาติของมันไหม? เรากลับเต็นท์นอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า

ลงจากภูและเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

                หลังจากตื่นเช้ามาเราก็นำของที่เช่ามาไปคืน เอาของไปส่งให้ลูกหาบแล้วก็เดินลงจากภูกัน ซึ่งตอนลงจะรู้สึกปวดที่ปลายเท้ามากกว่า แอบตกใจตัวเองอยู่เหมือนกันกันว่านี่เราปีนขึ้นมาได้ยังไงกันนะ? เดินลงมาจนถึง รับของที่ลูกหาบ กลับไปผานกเค้า จองตั๋วรถกลับ และกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ช่างเป็นทริปที่แอดเวนเจอร์จริงๆ ใครจะมาที่นี่ขอแนะนำให้ฟิตร่างกายก่อนมาประมาณ 1 สัปดาห์ พร้อมกับอุปกรณ์กันหนาวอย่างครบครัน ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ

ขอขอบคุณภาพถ่ายทั้งหมดจากน้องซัน หากขาดน้องซันการรีวิวครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้น
ขอบคุณบูๆที่ไปเที่ยวด้วยกันนะ :)