ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น
เช้าวันต่อมาหลังจากเราพักผ่อนนอนในเต็นท์กันอย่างสบายใจ
เพื่อนฉันก็ตื่นขึ้นมาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น
โดยเจ้าหน้าที่จะนัดคนที่จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตอนตี 5
ให้มาพร้อมกันแล้วเจ้าหน้าที่จะพาไป
เช้าวันนั้นฉันขี้เกียจตื่นจึงบอกให้เพื่อนไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกันตามอัธยาศัย
แล้วก็กลับมาพร้อมกับภาพที่ทำให้ฉันต้องรู้สึกอิดฉานิดๆ
พระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น
เตรียมตัวออกเดินทางบนภูกระดึง
หลังจากฉันตื่นเช้าขึ้นมาฉันก็ไปซื้อแผนที่
ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในราคา 10 บาทเพื่อวางแผนการเดินทางของเราในวันนี้
ตอนแรกตั้งใจว่าจะปั่นจักรยานที่มีให้เช่าในราคา 350 บาท
แต่ว่าไม่สามารถไปได้ทุกที่ เราจึงเลือกการเดินเท้าแทน ดูจากแผนที่แล้วก็ราวๆ 20
กิโลเมตรเลยทีเดียวที่เราต้องเดินกันวันนี้
แต่ไม่เป็นไรเพราะพวกเราแข็งแรงมาก !
แผนที่การเดินทาง
ที่เราตั้งใจจะเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปผาหล่มสักแล้วกลับมายังเต็นท์พัก
รูปภาพจาก http://www.pai-nok.com/default.aspx?tabid=88&g=posts&t=5549
เดิน เดิน เดิน
ข้าพเจ้าพร้อมสัมภาระ
และหน้าตาการตั้งใจจดสิ่งที่พบเห็น
เราออกเดินทางพร้อมกระเป๋าสะพาย และเสบียงที่หอบหิ้วมาจากบ้าน ด้วยความเริงร่าสุขสันต์
เราเริ่มต้นกันที่น้ำตกวังกวาง และเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ที่จะพบน้ำตกเป็นระยะ
แต่สิ่งที่ทำให้ฉันชอบมากก็คือ ตลอดทางเหมือนมีเราเดินกันอยู่สามคน
ฉันก็แอบแปลกใจเล็กๆว่าคนหายไปไหนกันหมด?
ได้แต่เดาเอาเองว่าสงสัยเพราะเราเดินเร็วกว่าชาวบ้านล่ะมั้ง
เราแวะหยุดถ่ายภาพกันเป็นระยะถี่ๆ
ออกเดินทางกันสามคน
ภูมิประเทศที่งดงาม
ใบเมเปิ้ลสีแดงที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่
สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ บนภูที่คนต้องดูให้ได้เลยคือ
ใบเมเปิ้ลสีแดง ฉันเจอใบเมเปิ้ลสีแดงที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่ ฉันรู้สึกว่ามันสวยมาก
นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันจะต้องมาเจอให้ได้บนภูกระดึงนอกจากจะทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
น้ำตกต่างๆ
ฤดูนี้น้ำไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็ยังสวยอยู่ดี
ที่นี่มอสเยอะมาก
แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์
มอสสวยด้วยมือเรา?
ใบเมเปิ้ลที่ลอยอยู่ในน้ำ
รู้สึกหลงรักใบเมเปิ้ลสีแดง
น้ำตกพ่วงพบ
น้ำตกพ่วงพบที่ไม่มีในแผนที่ที่ซื้อมา
อาจเป็นเพราะมันอยู่ติดๆกับน้ำตกที่มีในแผนที่
แต่พอมาเจอโดยบังเอิญก็แอบเซอไพร้อยู่เหมือนกัน เหมือนได้เที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งที่
น้ำใสไหลเย็น
น้ำตกเย็นๆ
ระหว่างทางที่เดินผ่าน
เดินผ่านอีกรูป
สระอโนดาด
อีกที่หนึ่งที่ถ่ายรูปแล้วสวยมากคือ สระอโนดาด
ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะบอกว่ามันไม่ค่อยมีน้ำ แต่ฉันว่ามันก็ยังสวยอยู่ดี
วิวท้องฟ้าที่มองเห็นไปไกลๆ น้ำใสๆเย็นๆ
ต้นไม้เป็นฉากหลังมองแล้วมันชวนรู้สึกอยากจะลอยจริงๆ
แอบนึกว่าตัวเองเป็นกินรีที่พรานบุญมาพบที่สระอโนดาดเลยทีเดียว นอกจากนี้ที่นี่เรายังพักด้วยการเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆ
ให้หายเมื่อยก่อนออกเดินทางต่อ
เป็นผู้มีวิสัยทัศน์
ณ สระอโนดาด
กินรีที่สระอโนดาด
พบลูกสนจำนวนมาก
น้ำตกถ้ำสอเหนือ
หลังจากเอาเท้าแช่น้ำเย็นๆจนเป็นที่พอใจแล้ว
เราก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกสุดท้ายก่อนจะมุ่งหน้าไปผาหล่มสัก ซึ่งน้ำตกนี้เรียกได้ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดเลยก็ได้
ในความรู้สึกของฉันเอง มองไปก็พลางจินตนาการไปว่า
ถ้าหน้าที่น้ำเยอะมันคงสวยอลังการมากจริงๆ
มุ่งหน้าสู่ผาหล่มสัก
หลังจากพักรับประทานอาหารเสบียงสุดแสนอร่อยที่พกมาจากบ้านแล้ว
เราก็ถึงเวลาเดินไปสู้ผาหล่มสักสถานที่สุดชิค
สำหรับการนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินของคนส่วนใหญ่
จากน้ำตกถ้ำสอเหนือไปผาหล่มสักนี่ถือว่าไกลมากทีเดียว สองข้างทางส่วนใหญ่เป็นวิวป่าเฟิร์น ต้นสนสูงๆ
แล้ะท้องฟ้าที่สุดใส ถูกใจฉันมากทีเดียวเชียว พื้นที่เดินก็เป็นพื้นทราย
สิ่งที่เราทำกันได้ตอนนี้มีแต่เดิน และชมความงามของสองข้างทางเท่านั้น
ในใจของเราก็คิดว่าเมื่อไหร่มันจะถึง
เราจึงตัดสินใจนั่งพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง พร้อมกับอมฮอลคนละเม็ด
เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้แก่ตัวเอง และสนทนาพาทีกันไป
พักเหนื่อยได้สักครู่เราก็ออกเดินทางกันต่อโดยมีปณิธานขำๆในใจว่า "เราจะต้องเดินไปถึงผาหล่มสักก่อนที่ลูกอมเม็ดนี้จะหมดเม็ดให้ได้"
เรามุ่งหน้าเดินต่อไป..
แล้วก็เห็นร้านค้าอยู่ลิบๆ
ฉันรีบเดินเข้าไปถามรานค้าด้วยความตื่นเต้น
"ที่นี่ที่ไหนคะ"
แล้วคำตอบที่ฉันได้รับกลับมาก็ทำให้ฉันแทบกรี๊ดดดดด
เพราะว่าฉันยังกินลูกอมไม่หมดเลย นี่มันเรื่องมหัศจรรย์ชัดๆ เราถึงแล้ผาหล่มสัก!
ผาหล่มสัก
เราแวะพักกินน้ำแข็งใสเย็นๆที่ผาหล่มสัก
มันช่างเป็นน้ำแข็งใสที่ชื่นนนนนนนนใจมากที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ทั้งเย็นทั้งหวาน
เรากินอาหารอื่นๆจนที่เป็นที่พอใจ ส่วนราคาก็แพงจากข้างล่างปกติประมาณ 3 เท่า
บางอย่างก็ไม่ถึง เช่น ส้มตำราคา 60 บาท แต่มันอร่อยนะ
จากนั้นเราก็เดินไปเยี่ยมชมผาหล่มสัก
หาที่ถ่ายรูปเพื่อที่คนอื่นบนโลกนี้เห็นรูปเราจะได้รู้ว่า เรามาถึงแล้ว! พวกเราถ่ายรูปกันสักแสนรูปเห็นจะได้
มองลงไปจากผานี่เสียวมากๆ
ถ้าเรามาภูกระดึงแต่มาไม่ถึงผาหล่มสักอาจจะเรียกได้ว่า
มาไม่ถึงภูกระดึงเลยทีเดียว
ภาพที่ผาหล่มสัก
ผาหล่มสัก
ภาพความทรงจำของเราสามคน
โดยธรรมดาสามัญของมนุษย์ปกติแล้วจะนิยมชมพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก
อาจเป็นเพราะมันเป็นทีที่วิวสวยที่สุด
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพาเดินทางกลับพร้อมไฟฉาย ถึงเต็นท์ประมาณสามทุ่ม
แต่พวกเราหาใช่มนุษย์ปกติไม่ พอเหลือบมองนาฬิกา
คุณพระคุณเจ้านี่มันเพิ่งจะบ่ายโมงกว่า เกือบๆบ่ายสอง
หากขืนปล่อยให้เรารอประอาทิตย์ตก คงเฉาตายเป็นแน่เท้ เราจึงตัดสินใจเดินกลับแล้วคิดว่า
พระอาทิตย์ตกที่ไหนก็ดูมันที่นั่นนั่นแหละ
ผาอื่นๆ
ระหว่างทางกลับเราจะพบกับผาต่างๆมากมาย
ทางเดินส่วนใหญ่ก็จะเป็นทราย
ข้างทางเป็นทุ่งหญ้าสะวันน่า(มโนเอาเอง) แต่ขากลับเป็นอะไรไม่รู้
รู้สึกเริงใจจัง คุยกับเพื่อนหัวเราะขำๆ พร้อมกับมีไอเดืยว่า
เราจะมาทำแคปซูลเวลาไว้มาเปิดอีกสิบปีข้างหน้าที่ภูกระดึงด้วยกัน
ทุ่งหญ้าสะวันน่าที่ฉันกล่าวถึง
ดอกหญ้าริมทาง
ต้นอะไรก็ไม่รู้เหมือนลูกสนเลย
หน้าผาอื่นๆที่จำชื่อไม่ได้แล้ว
ที่นี่คือผาเหยียบเมฆ
โฮะๆๆ
พระอาทิตย์ตกที่ผาส่วนตัว
เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกเต็มที
ตอนแรกตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก แต่ว่าเดินไปไม่ทัน
ก็เลยนั่งแวะที่ผาไม่มีชื่อ ที่ไม่มีคนอยู่ แต่ว่าภาพที่เรามองไปมันสวยมาก
ฉันรู้สึกถึงลมที่พัดผ่าน เสียงใบไม้ไหว เสียงลม ฉันสัมผัสได้ถึงความสงบ กลิ่นลมหอมๆที่ฉันสัมผัสถึง...
ฉันมีความสุขและไม่อยากจากไปไหน
ฉันถามกับเพื่อนที่นั่งข้างๆว่า
"ทำไมท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ตกมันถึงสวยจัง" ... เพื่อนฉันตอบกลับมาว่า
"เพราะมันเป็นสีที่มนุษย์ระบายไม่ได้.."
ฉันนั่งมองพระอาทิตย์ตก..
พระอาทิตย์ค่อยๆตกพร้อมกับอากาศที่เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆจนฉันต้องหยิบเสื้อกันหนาวขึ้นมาใส่
วันนั้นเรากลับไปที่เต็นท์พร้อมกับขาที่เมื่อยล้า
อาหารเย็นบนภูกระดึง
อาบน้ำสู้กับอากาศหนาวเสร็จเรียบร้อย
เราต้องรีบเดินไปที่ร้านอาหารที่ที่จะให้ความอบอุ่นแก่เรา วันนี้มีบอล
คนบนภูพร้อมใจมานั่งเชียบอลกันด้วยความสามัคคี
ขนาดฉันไม่ดูบอลยังรู้สึกตื่นเต้นไปด้วยเลย
คนดูบอลที่จอหนังกลางแปลง
ฉันเข้าไปในร้านข้าวและเร่งเร้าป้าให้เอาน้ำชาร้อนๆมาให้ด่วน
เพราะฉันหนาวมากและต้องการน้ำร้อนมาช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น อาหารบนนี้ก็ราคาประมาณ
50-60 บาท
สุกี้น้ำ
โจ้กหมูใส่ไข่
ไข่กระทะ
มันหนาวมาก
การดื่มน้ำชาของเรา
นี่มันเหมือนหนังจีนไม่มีผิด
เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของน้องซันเพื่อนร่วมทาง
เราจึงต้องหอบหิ้วโดนัทมาด้วย(น้องซันหิ้วมาเอง)
พอโดนัทมันมาอยู่บนภูแล้วมันช่างมีค่ามากมายมหาศาลเหลือเกิน
บนนี้มีกวางด้วยนะ กวางอ้วนมากทีเดียว
แอบเป็นห่วงว่ากางจะได้กินอาหารที่ถูกต้องหรือเปล่า?
อาหารที่นักท่องเที่ยวป้อนให้มัน จะถูกกับธรรมชาติของมันไหม?
เรากลับเต็นท์นอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
ลงจากภูและเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ
หลังจากตื่นเช้ามาเราก็นำของที่เช่ามาไปคืน
เอาของไปส่งให้ลูกหาบแล้วก็เดินลงจากภูกัน ซึ่งตอนลงจะรู้สึกปวดที่ปลายเท้ามากกว่า
แอบตกใจตัวเองอยู่เหมือนกันกันว่านี่เราปีนขึ้นมาได้ยังไงกันนะ? เดินลงมาจนถึง
รับของที่ลูกหาบ กลับไปผานกเค้า จองตั๋วรถกลับ และกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
ช่างเป็นทริปที่แอดเวนเจอร์จริงๆ ใครจะมาที่นี่ขอแนะนำให้ฟิตร่างกายก่อนมาประมาณ 1
สัปดาห์
พร้อมกับอุปกรณ์กันหนาวอย่างครบครัน ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ
ขอขอบคุณภาพถ่ายทั้งหมดจากน้องซัน หากขาดน้องซันการรีวิวครั้งนี้คงไม่เกิดขึ้น
ขอบคุณบูๆที่ไปเที่ยวด้วยกันนะ :)
ขอบคุณบูๆที่ไปเที่ยวด้วยกันนะ :)