ลานสนวันนี้หมอกปกคุลมหนาทีเดียว
เมื่อเราถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็เดินไปยังสถานที่กางเต๊นท์ ในใจก็คิดว่าเราเดินปืนเขาขึ้นมาแค่วันเดียวยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วตอนที่โฟรโด แบล็กกิ๊นส์ กับ แซม ไวท์แกมจี(ในเรื่องเดอะเลอะลอร์ดออฟเดอะริง)เดินทางเอาแหวนไปทำลายที่มอร์ดอนี่ไม่เหนื่อยตายเลยหรอวะ
ที่จุดชมวิวก็ยังมีหมอกปกคลุม
เป้และซันเดินขึ้นมาถึงตั้งแต่บ่ายสามแล้ว เช่าถังและขันอาบน้ำสำหรับอาบน้ำและเข้าห้องน้ำเผื่อเราเรียบร้อย มองไปรอบๆภูแล้วตอนนี้น่าจะมีไม่เกินยี่สิบคน(รวมเจ้าหน้าที่แล้ว)
การอาบน้ำบนยอดภู
วิธีการอาบน้ำของที่นี่คือ ไปรองน้ำจากแท็งค์น้ำ(ซึ่งใกล้หมดเต็มทน) หากน้ำหมดให้ไปตักน้ำจากลำธารใกล้ๆมาอาบ ถึงแม้ว่าตอนนี้อากาศจะหนาวเย็นเพียงใดแต่ข้าพเจ้าและผองเพื่อนก็รู้สึกสกปรกมากจนต้องทั้งอาบน้ำและสระผม เป้ผู้มาก่อนบอกพวกเราว่าถ้าจะสระผมด้วยให้ตักน้ำไปใช้สองถังถึงจะพอ
ไปถึงแท็งน้ำข้าพเจ้าพบผู้ชายคนหนึ่งรองน้ำจากแท็งค์ซึ่งไหลช้าเหลือเกิน จึงตัดสินใจเดินไปตักน้ำที่ลำธารมาอาบ หลังจากอาบน้ำไปสักพักจึงตระหนักได้ว่า น้ำสองถึงมันไม่พอ!!! ข้าพเจ้าจึงทำการยืมน้ำที่น้องนกตักวางทิ้งไว้ที่ห้องน้ำข้างๆแล้วหายไปไหนไม่รู้มาอาบ ลำบากมากถึงขั้นต้องแต่งตัวออกมาหยิบน้ไปใช้เลยทีเดียว สรุปวันนั้นต้องใช้น้ำถึงสามถัง แต่ภีมบอกว่าใช้น้ำไปแค่ถังเดียวเท่านั้น!! เป็นไปได้อย่างไรนี่
กิจกรรมยามค่ำ
กับข้าวที่เราเตรียมขึ้นมากันเองนั้น ทุกอย่างดูจะกลายเป็นของล้ำค่าไปในทันที แหนมและน้ำพริกแมงดาข้าพเจ้าได้นำมากินในมื้อนี้เอง ข้าวเหนียวแม้จะเย็นชืดเพียงใด มันก็ยังอร่อยมากอยู่ดี แต่ก็แอบกังวลใจอยู่เล็กน้อยว่าอาหารที่ข้าพเจ้าได้นำมานั้นจะเพียงพอครบทุกมื้อหรือไม่
ภาพตัดมาที่น้องนก กับข้าวของนางนี่ถือได้ว่าอยู่เป็นเดือนก็ไม่ตาย มีตั้งแต่ปลากระป๋องรสแกงเขียวหวาน ปลาผัดพริก หมูฝอย ข้าวกล้อง ซีเรียล และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนเจ้โมผู้เป็นมังสวิรัตก็นำของกินมาเยอะมากกกก ของที่สรรหามาแต่ละอย่างก็ช่างครีเอททั้งนั้น สรุปคือมื้อนั้นเราก็ยังกินอิ่มกันอยู่ทุกคน
ทางช้างเผือก ณ ภูสอยดาว
ท้องฟ้าเริ่มมืด ตอนที่เราเดินขึ้นมาหมอกเต็มไปหมดเราเลยไม่หวังว่าจะได้เห็นดาวในวันนี้ แต่พอออกมาจากเต้นท์ภาพที่เห็นคือดาวเต็มฟ้าไปหมด ข้าพเจ้าจึงต้องร้องเรียกให้ทุกคนออกจากเต้นท์เพื่อมาชมดาวด้วยกันในค่ำคืนนี้
น้องซันผู้มีกล้องดูจะตื่นเต้นกว่าใครๆ เพราะตั้งใจจะมาถ่ายรูปดาวบนนี้โดยเฉพาะ ถ้าสิ่งใดจะคุ้มค่าที่สุดในการขึ้นมาบนภูสอยดาว เห็นว่าคงจะเป็นดาวบนนี้นี่แหละ สมชื่อภูสอยดาวจริงๆ
คุณพี่โชคและแมวภูเขา
ภาพแมวภูเขาในยามเช้า
เราแหงนหน้าดูดาวจนเมื่อยคอ ข้าพเจ้าโชว์ทักษะดาราศาสตร์โดยการชี้ดาวลูกไก่ให้ภีมดู และดาวสามดวงเรียงติดๆกันซึ่งอีเจ๊โมบอกว่าเป็นเข็มขัดนายพราน นั่งพักกันเก้าอี้ใต้ต้นสน ข้าพเจ้าจึงเปิดไฟฉายเล่น ส่งไปที่นั่งข้างๆ มีแมวดำตัวหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆฉัน คุณพระ มันน่าตกใจมากจริงๆ จึงชี้ให้ภีมดู ภีมผู้เอื้ออารีจึงจับแมวดำมาอุ้มให้ความอบอุ่นแก่แมวน้อย นึกสงสัยว่าเจ้าแมวมันขึ้นมาอยู่บนนี้ได้อย่างไร
ได้ยินเสียงเล่นกีต้าร์เพลงเหมือนอยู่ในค่าย มาจากบ้านพักเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นกรี๊ดกร๊าดกับอีเจ๊โมมากอยากจะไปนั่งร้องเพลงด้วย สักพักมีคุณลุงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาชวนเราไปร้องเพลงด้วยจริงๆ (ดีใจมากกกกกก) จึงรีบรับคำแบบไม่ปฏิเสธ
ไปนั่งร้องเพลงกับคุณลุงเจ้าหน้าที่
ไปถึงเราก็ถามหาพี่โชค สรุปได้ใจความมาว่าคือคุณพี่คนที่นั่งเล่นกีร์ต้าอยู่นี่เอง มีคุณลุงคนหนึ่งยื่นน้ำสีขาวๆมาให้เราทุกคน พวกเราจึงชิมกันคนละ 1 จิบพบว่ารสชาติแสบคอมากทีเดียว นอกจากนี้ยังมีแกงเห็ดนางฟ้าและหมูทอด ซึ่งมีแต่ภีมเท่านั้นที่กิน คนอื่นที่เหลือปฏิเสธอย่างแข็งขันเนื่องจากขี้เกียจไปตักน้ำมาแปรงฟันตอนดึกๆแล้ว
แกงเห็ดนางฟ้า
สรุปค่ำคืนนั้นเราได้ร้องเพลงของพี่เสกและพี่ตูนเป็นส่วนใหญ่ เช่น ใจสั่งมา เป็นต้น ภีมดูจะไม่ค่อยได้ร้องเท่าไหร่ เพราะต้องคุยกับคนบ้านเกิดเดียวกัน(เจ้าหน้าที่บนนี้) เราร้องกันสักพักก็รีบกลับไปนอนที่เต้นท์
ออกผจญภัยในดินแดนแห่งไชร์
ภีมส่องหน้าตนเองในลำธาร ตามวิถีคนโบราณ
ภีมไม่ได้เอากระจกติดมาด้วย ตอนเช้าอยากจะส่องกระจกมากจึงถามหากระจกไปทั่ว น้องซันปิ๊งไอเดียบอกภีมว่า "ง่ายมาก แค่ไปส่องที่ลำธาร" ฉันรู้ว่าน้องซันเพียงแค่พูดตาล้อเล่นเท่านั้น แต่ภีมก็ทำตามคำแนะนำของน้องซันจริงๆ
หาของกินและเตรียมตัวก่อนเดินเล่นรอบภู
น้องนกรับประทานอาหารที่แอดว๊านซ์
ข้าพเจ้าและภีมตอนอยู่ในเต้นท์
น้องนกประทินผิวก่อนออกไปผจญภัย
เส้นทางโดยรอบ
เจ๊โมและกล้องของนาง
น้องนกผู้ชนะเลิศ
เราถ่ายภาพแม้กระทั่งกับขอนไม้โง่ๆ (แต่จริงๆข้าพเจ้าคิดว่ามันสวยมาก แลดูดีใกล้ชิดธรรมชาติ) ซึ่งกับขอนไม้นี้เราใช้เวลาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบนาที
ยอด 2,100 ในม่านเมฆ
เราเดินไปก็เห็นยอดสองพันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หมายของเราในตอนแรก แค่เห็นว่าจะต้องปีนขึ้นไปก็เมื่อยแล้ว ดีนะที่เราไม่ได้คิดจะขึ้นไปในวันนี้ หากอยากปีนขึ้นไปขอแนะนำให้มานอนค้างที่นี่นนานกว่านี้ คนที่จะมาเที่ยวภูสอยดาว พวกนักปีนเขานี่คงจะคิดว่ามันคือสวรรค์ชัดๆ
เราถ่ายรูปกับทุกๆอย่างที่พบเจอ
คณะของเราก็เดินทางไปเรื่อยๆตามเส้นทาง
จะว่าไปภูมิประเทศบนนี้ก็คล้ายๆหนังเรื่อง The hobbit นกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าตอนนี้เรากำลังถูกพวกอ๊อคไล่ตาม หรือแอดว๊านไปกว่านั้นคือถูกมนุษย์อุรุคายไล่ตาม คงสยองน่าดู มีคนให้ความเห็นว่าถ้าถูกอ๊อคไล่ตามคงจะวิ่งหนีขึ้นต้นไม้ เพราะหมาป่าคงจะปีนต้นไม้ไม่ได้
ภูเดียวสองประเทศ
เราอยู่ที่ประเทศไทย
และข้ามมาประเทศลาว
จุดเด่นของที่ภูนี้อีกอย่างหนึ่ง(นอกจากดอกหงอนนาคที่จะพบเฉพาะหน้าฝนแล้วเราไม่พบ) คือเราสามารถเดินข้ามไปมาระหว่างประเทศไทยและลาวภายในสามวินาที ! โอ้โหมันน่ามหัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น ที่จริงคือมันเป็นรอยต่อระหว่างเขตแดนประเทศไทยลาวนั่นเอง ที่นี่เคยเป็นสมรภูมิร่มเกล้า เขตรบระหว่างไทยลาว และตามป้ายมีเขียนบอกว่ามีบังเกอร์ที่ข้าพเจ้าพยายามตามหาแต่ไม่พบ ตอนเป็นสงครามมันต้องหดหู่มากแน่ๆ พวกเราใช้เวลานิดหน่อยในการถกปัญหาเรื่องสงครามก่อนจะไม่ใส่ใจมันอีก และแน่นอนเราใช้เวลาถ่ายรูป ชื่นชมและอัดคลิปที่หลักนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาที!!
เราเดินมาเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิวของบนภูและนั่งถ่ายรูป
แต่เราก็พบดอกไม้ที่คาดว่าจะเป็นดอกหงอนนาค
อิซันและธรรมชาติ ณ จุดชมวิว
เราเดินจนเที่ยงกว่า เลยรู้สึกหิวขึ้นมา จึงตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่เต้นท์ นอนพักผ่อนสักครู่ แล้วค่อยออกไปเดินเล่นที่น้ำตกภูสอยดาวตอนบ่าย
อาหารมื้อเที่ยงเพื่อส่วนใหญ่กินมาม่าและไปขอน้ำร้อนฟรีจากพี่ๆเจ้าหน้าที่ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงเสบียงที่ไม่พอของตน แต่เจ้โมผู้เอื้อเฟื้อก็แบ่งซีเรียล ขนมปัง และอาหารมากมาย(ที่เหลือเฟือ)ให้แก่ข้าพเจ้า ซาบซึ้งใจยิ่งนัก นอกจากนี้น้องนกยังขายมาม่าต่อด้วย รอดตายอีก 1 มื้อ น้องซันยังแบ่งหมูฝอยและทูน่าให้อีก เพื่อนๆช่างมีน้ำใจแก่ข้าพเจ้าจริงๆ กระซิกๆ
น้ำตกภูสอยดาว
เหลือน้ำตกเพยงเท่านี้
หลังจากกินอิ่ม นอนหลับ ตักน้ำไปเข้าห้องน้ำกันจนพอใจ เราก็ออกไปเดินเล่นที่น้ำตกบนภูสอยดาวต่อ ซึ่งจำชื่อไม่ได้ ทางเดินลงไปค่อนข้างลาดชันและลื่น หากเป็นหน้าฝนคงมีโอกาสลื่นตกเขาเป็นแน่ เรามโนว่าได้ยินเสียงน้ำตกไหลซู่ซ่านรุนแรง ภาพที่คิดไว้ในหัวคือน้ำตกไหลแรงมากน้ำกระเซ็นไปหมด พอเดินลงไปถึง มันทำให้ข้าพเจ้าต้องตะลึง เพราะดูแล้วมันเหมือนจะเป็นที่จอมยุทธ์ตกลงมา แล้วมาฝึกวิชาจนกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจ สำเร็จทุกกระบวนท่ามากกว่า ดูยังไงก็ไม่เหมือนน้ำตกสักนิด! แต่บรรยากาศช่ำเย็นมาก พวกเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องอนาคต เรื่องชีวิตการงานกันที่นี่ ข้าพเจ้ารู้สึกดีมากๆ
แต่ว่าน้ำใสและเย็นดี
ข้ามาฝึกวรยุทธ์ที่นี่
ส่วนเพื่อนข้ามาเที่ยว ฮ่าๆ
พอเริ่มเย็นเราก็รีบกลับเต้นท์ เตรียมตัวแบกน้ำจากลำธารมาอาบ เพื่อเตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ตกดิน และดาวสกาวฟ้าในยามค่ำคืนสุดท้ายนี้
ชมพระอาทิตย์ตกและดูดาว
นั่งเม้าไปเรื่อย
เริ่มเย็นเราก็ไปจุดชมวิว น่าดีใจมากที่วันนี้หมอกน้อยมากจนแทบไม่มี วิวที่มองไปจนสวยจนน่าประทับใจ พวกเรานั่งคุยกันเรื่องเปื่อยสัพเพเหระ เรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวในคณะของเรา ซึ่งคุยกันแล้วตลกและมีความสุขมาก เจ้โมผู้อินดี้ก็นำสมุดมานั่งบนทึกที่จุดชมวิวนี้ จริงๆตั้งแต่ขึ้นมาเราก็รู้สึกว่าภูนี้เป็นของเรา จนกระทั้งตอนนี้พวกเราก็ยังรู้สึกแบบนั้น
บนภูเขามีหมอกปกคลุม
ทิวเขาสลับไปมา
พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า
เมื่อตะวันลับขอบฟ้าดาวก็เริ่มปรากฏ แต่วันนี้เรามาชมดากันที่จุดชมวิว ซึ่งสวยกว่าเมื่อวานล้านเท่า! ตรงนี้มีแค่พวกเรา ท้องฟาและก็ดาววววว ซึ่งเต็มฟ้าไปหมด แน่นอนวันี้เราก็ยังเห็นทางช้างเผือก นอกจากนี้เรายังเห็นดาวตกกันอีกหลายดวง พวกเราก็อธิฐาน อิน้องซันผู้มีจิตใจดีก็อธิฐานว่าขอให้พวกเราสอบผ่าน VCA (สอบใบประกอบโรคของสัตวแพทย์) ผ่านกันทุกคน ส่วนข้าพเจ้า แต่ละข้อตอนนี้ก็ลืมไปหมดแล้วว่าขออะไรไปบ้าง
ดาววันนี้
พวกเราตั้งกล้องถ่ายรูปเรากับดาว ซึ่งเป็นการถ่ายครั้งแรกของน้องซัน พวกเราตื่นเต้นกันมาก เดินถือไปฉายสลับไปมาดูว่ามุมไหนจะสวยที่สุด
ภาพที่ได้พวกเรากลายเป็นผีจูออนไม่มีหน้า แต่ภาพนี้เป็นความทรงจำที่ดีมาก
เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศ อากาศหนาว และดวงดาวนานมาก มันเป็นการดูดาวที่สวยที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าเลยก็ว่าได้ สมชื่อภูสอยดาวจริงๆ หลังจากพอใจกับดาวเราก็กลับเต้นท์นอน
คืนข้าวของ
เจ้าหน้าที่ใจดีมาก
ของสำหรับฝากคุณพี่ลูกหาบลงไป
ถังน้ำที่เราใช้กันมาสองวัน
วันนี้เราต้องลงจากภู จึงเก็บของและนำของไปคืนเจ้าหน้าที่ เนื่องจากข้าพเจ้านั้นเกิดต้องการเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายนานกระทันหัน เพื่อนๆจึงมีเวลาคุยกับพี่ๆเจ้าหน้าที่ และได้พบความจริงว่าคุณพี่โชคคือรุ่นเดียวกันกับพวกเรา!
เดินลงภู
ถ่ายภาพกับป้ายก่อนเดินลง
หลังจากถ่ายภาพกับป้าย เราก็ร่ำลาเจ้าแมวภูเขาก่อนเดินลงแล้วก็คิดว่าคงไม่เจอกับมันอีกแล้วเป็นแน่แท้ แต่ยิ่งเราเดินลงไป เจ้าแมวก็เดินตามเราลงมา มันเดินนำหน้า ย้อนกลับมา ดูจนพวกเราเดินผ่านมันไปครบ แล้วก็ล่วงหน้าไปอีก ราวกับว่าเป็นแมวเจ้าถิ่นที่ต้องดูแลพวกเราตลอดการเดินลง และคิดว่ามันต้องลงไปข้างล่างกับเราแน่ๆ
ตอนลงวันนี้ไม่มีหมอกเลย ทำให้เราเห็นภูเขาได้สวยจนน่าประทับใจ
ชักภาพกับแมวภูเขา
อีแมวภูเขานี่ไหนๆก็เดินมากับเราแล้วจึงจับถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วย จนเดินมาไกลพอสมควรอยู่ๆเจ้าแมวน้อยก็หายไปโดยไม่ร่ำลา มีพี่เจ้าหน้าที่เดินลงมาก็บอกว่ามันจะเดินลงมาส่งนักท่องเที่ยวเป็นเรื่องปกติ นี่พวกเราสำคัญตัวผิดไปสินะ ว่ามันชอบพวกเรา!
พวกเราเดินนานพอสมควร นี่ขนาดทางลงนะ เรานี่เก่งจริงๆเดินขึ้นไปได้ไงตั้งไกลขนาดนี้ จนใกล้จะถึงเราพบแก๊งผู้ชายหลายคนมากประมาณสองกลุ่ม น่าเสียดายเหลือเกินเราน่าจะขึ้นภูวันเดียวกัน มิฉะนั้นเราอาจจะพบรักบนภูก็ได้ กระซิกๆ ในที่สุดเราก็ถึงเมื่อเวลาเกือบๆเที่ยงและนั่งรถย้อนกลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
พระพุทธชินราช
สุดท้ายเราได้ให้คุณพี่แท็กซี่พาเราไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก่อนจะขึ้นรถทัวร์กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
จองตั๋วรถกลับ
ขณะนั่งรอรถที่ บขส. ก็มีข่าวดีคือน้องซันนั้นได้สอบสัมภาษณ์ผ่านไปฝึกงานที่ไอโอวาในปิดเทอมหน้า สร้างความปิติยินดีให้น้องซันและผองเพื่อนเป็นอันมาก เป็นอันว่าจบทริปนี้ด้วยความสุข สวัสดี
บทส่งท้าย
ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวที่ปวดขา เมื่อยน่องมากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ในวัยแก่เมื่อเรานึกย้อนกลับมามันคงมีความหมายมาก ดาวที่นี่ก็สวยมาก ห้องน้ำก็ลำบากสุดๆ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ขอแนะนำให้ผู้ที่คลั่งไคล้การเดินป่า และอะไรที่เอ็กตรีมมาที่นีคงจะชอบเป็นแม่มมั่น
ขอบคุณภาพจากเจ้โมและอิซัน ขอบคุณ น้องนก หญิงเป้ ภีม อิซันและเจ้โมที่ไปเที่ยวด้วยกันนะ
จบบริบูรณ์