วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ภูสอยดาว ทริปโหด น่องแกร่ง ตอนที่1

อยากไปเที่ยวภูสอยดาว

หลังจากผ่านพ้นการเรียนเลคเชอร์อย่างหนักหน่วงของเราตอนปี 5 แล้ว พวกเราก็มีความคิดกันว่าอยากไปเที่ยโอ้ลัลล้า ใกล้ชิดธรรมชาติที่สวยงาม ผ่อนคลายจากการนอนจมกองชีทจนกระอักเลือด เปิดหาดูตามกระทู้ pantip ก็พบว่า "ภูสอยดาว" นี่แหละน่าไป

ตกลงกันไปกันมา ชวนคนนั้นคนนี้ก็ได้ผู้ร่วมชะตากรรม ผู้ไม่หวาดกลัวคำขู่ว่า "ภูกระดึงนี่อนุบาลไปลย" มาทั้งสิ้น 6 ท่าน อันประกอบด้วย ภีม เจ๊โม นังเป้ น้องนก (ผู้ไม่เคยไปภูกระดึง) ซัน และข้าพเจ้าเมเม่เอง ที่เคยไปภูกระดึงมาแล้ว และอยากจะรู้นักเชียวว่าอีคำขู่ที่คนทั้งหลายกล่าวขวัญกันมันจะสักเท่าไหร่กันเชียว หึ~

เริ่มต้นที่นี่หมอชิตที่เดิม


พันธมิตรแห่งภูสอยดาวทั้ง 6

เรานัดเจอกันที่หมอชิตเวลาสองทุ่มตรง ต้องเป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งว่าเพื่อนทุกคนมาตรงเวลามาก กลับเป็นข้าพเจ้าเสียเองที่มาช้าสุด ผิดคาดมาก ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายอยู่นาน ทุกคนดูเป็นห่วงว่าเราจะไปที่ไหนอย่างไรบ้างเป็นอันมาก เพราะทุกคนกะว่าจะไปตามข้าพเจ้าไง ซึ่งข้าพเจ้าก็ เอ่อ.. ก็ไปตามรีวิวนั่นแหละ ทำให้ผู้ปกครองทุกคนเกิดอาการเครียดเป็นอันมาก เนื่องจากถามรายละเอียดกับบุตรตัวเอง หาได้มีใครตอบได้ไม่ เดือดร้อนถึงผู้ปกครองน้องซันต้องตามอ่านรีวิวในพันทิปโดยละเอียด บอกแม้กระทั้งว่าพอลงรถที่พิษณุโลกแล้วให้ไปรอที่ช่องเบอร์ 26 เพื่อไปต่อ พอไปถึงก็ต้องอุทานด้วยความพิศวง เพราะมันเป็นช่องนั้นจริงๆ

รถทัวร์ส่วนตัว
ขนของขึ้นรถทัวร์

เมื่อถึงเวลาประมาณสี่ทุ่มรถที่จะเดินทางไปพิษณุโลกก็มา พวกเราจัดการตัวเองนั่งตามที่นั่งตามตั๋ว เอนเบาะเตรียมนอนให้เรียบร้อย แปลกใจนิดหน่อยที่คนบนรถมีไม่มากเท่าที่คิด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมีพวกเรา 6 คน และคนอื่นอีกประมาณ 3 คน

พอรถออกพี่ที่เป็นสจ๊วตใจดีมาก มีรอยยิ้มที่เป็นมิตร ท่าทางจะแก่กว่าเราไม่กี่ปี รอบแรกนำน้ำมาแจกคนละขวด รอบสองผ้าห่มคนละผืน รอบสามอาหารว่าง รอบสี่น้ำส้มคนละกล่อง มันได้อะไรเยอะมากจนข้าพเจ้าต้องถามออกไปอีกว่า "จะมีอะไรอีกไหมคะ" คำตอบคือ มี!! ข้าวกล่องอีกคนละกล่อง โอ้โหหห คือมันดีงามมาก คุ้มค่าคุ้มราคาสุดๆ คิดในใจว่าข้าวนี่แหละจะเป็นเสบียงของข้ายามขึ้นภู

สิ่งที่ดีงามมากคือพี่เค้าอนุญาตให้เรากระจายกันนั่งเพื่อความสะดวกสบายได้ เนื่องจากรถเที่ยวนั้นก็มีแค่พวกเราหกคนและคนอื่นอีกสามคนนั่นเอง

ถึงพิษณุโลกเจ๊โมทำโทรศัพท์หาย

เราใช้เวลาเดินทางตามรีวิวประมาณ 5 ชั่วโมงพอดิบพอดี กะว่ารอต่อรถไปชาติตระการ แล้วค่อยเช่ารถไปต่อ ตอนนั้นมีแท็กซี่มาเสนอราคาให้เราพาไปถึงทางขึ้นภูสอยดาวด้วยราคาเพียง 2000 บาท ข้าพเจ้าได้ยินตอนแรกนี่แทบกรี๊ดอยากตะครุบไว้เลยทีเดียว เพราะการไปและราคามันทั้งถูกและสบายกว่าในรีวิวที่เคยอ่านมา แต่ ณ ตอนนั้นคือทุกคนมองหน้ากันทำหน้าตาสุขุมรอบคอบ ไม่ตื่นตระหนกตกใจ บอกว่าขอตกลงกันก่อน พอคุณพี่แท็กซ๊่เดินไปเท่านั้นแหละ ทุกคนถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้น แกมันถูกกว่าในรีวิวหว่ะ ไปเถอะ เราจึงแยกย้ายกันไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าตา

ตอนนั้นเองที่อีเจ๊โมมันรู้ตัวว่าทำโทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อใหม่ตกไว้บนรถทัวร์ ณ จุดนั้นคือเครียดมากเพราะนางนั้นเคยทำโทรศัพท์หายตอนไปโรมาเนียแล้วครั้งหนึ่ง คุณพี่แท็กซี่เลยพาขับซิ่งไปที่อู้น้ำมันรถทัวร์เพื่อที่จะไปตามล่าหาโทรศัพท์คืน ส่วนข้าพเจ้า น้องนก และนางเป้ ก็ช่วยกันรื้อกระเป๋าเจ๊โมที่เราเฝ้าของไว้ สุดท้ายแท็กซี่ขับไปเจอรถและคุณพี่สจ๊วตใจดีก็กำลังเก็บโทรศัพท์ไว้ให้ แถมได้น้ำส้มที่ลืมไว้บนรถสองกล่องกลับมาด้วยอีกต่างหาก ดีจริงๆ เราจึงเดินทางไปอุทยานแห่งชาติูสอยดาวด้ยแท็กี่กันเลย โกโก

ชาติตระการ ตลาดป่าแดง
ภาพหน้าตลาดป่าแดง

จุดแวะสุดท้ายก่อนไปอุทยานคือตลาดป่าแดงนี่เอง ส่วนใหญ่แวะที่นี่เพื่อซื้อของเพื่อเตรียมไปประกอบอาหารบนภู แต่พวกเราเตรียมอาหารแห้งกันมาเป็นอย่างดี และคิดเป็นอย่างหนักแล้วว่าจะไม่ประกอบอาหารกินกันเองแน่ จึงเอาอาหารสำเร็จรูปมากินกันทุกคน ที่นี่เองที่ฉันซื้อแหนมที่เพื่อนถามว่า มันสุกหรอแก มันจะกินได้หรอแก แต่ป้าคนขายยืนยันหนักแน่นว่ากินได้เลยจริงๆ และน้ำพริกแมงดา พร้อมกับข้าวเหนียวไว้เป็นเสบียงระหว่างทาง แค่กะว่าจะซื้อมาชิมเฉยๆเท่านั้นเอง

ภาพบรรยากาศตลาด

ในตลาดมีทั้งของสด และของสำเร็จรูปต่างๆมากมาย น่ากินและราคาไม่แพง พวกเราซื้อน้ำคนละสองถึงสามขวดใหญ่จากเซเว่นที่นี่ เดินหาห้องน้ำเข้าซึ่งได้ที่วัดข้างๆตลาดนั่นเอง ก่อนจะเดินทางต่อไป


วัดข้างๆตลาดป่าแดง


มีพระพุทธรูปสวย

อุทยานแห่งขาติูสอยดาว


รถที่ใช้เดินทางไปทางขึ้น

นานเหมือนกันจากตลาดป่าแดงมาถึงอุทยานแห่งชาติ คุณพี่แท็กซี่ก็เคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน สรุปว่าพวกเราเจ็ดคนเพิ่งเคยมาด้วยกันทั้งหมด!! เมื่อมาถึงก็เช่าเต้นท์อุทยาน อาบน้ำ แต่งหน้า(หลายคนอาจจะคิดว่ามันจำเป็นด้วยหรอ ต้องขอบอกวาจำเป็นมากสำหรับการเดินป่าครั้งนี้ ฮ่าๆ เพราะเราแต่งหน้ากันทุกคนยกเว้นน้องซัน) จ้างลูกหาบ แต่ด้วยความงกนิดหน่อยของข้าพเจ้าเลยคิดจะแบกน้ำขึ้นไปเองสองขวดสามลิตรถ้วน อยู่บนพื้นราบลองก็แบกดูก็.. ไม่เท่าไหร่หรอกชิวชิว หึหึ

ตอนไปถึงรู้สึกตะหงิดใจอย่างไรชอบกล เพราะตอนที่ไปภูกระดึงคนเยอะมากกกก แค่ที่นี่หันซ้ายแลขวาก็มีแค่พวกเราหกคน!! ถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ใจความว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกของวันนี้... โอเคเค่ แล้วมิชชั่นของข้าพเจ้าที่จะมารู้จักคนใหม่ๆบนนี้ล่ะ ไม่เป็นไรบนภูคงมี!!

เจ้าหน้าที่ให้เราเลือกรถว่าจะไปทางขึ้นยังไงระหว่างรถกระบะกับรถเขียวๆนี่ แล้วพวกเราก็ตัดสินใจโดยหาได้มีความลังเลไม่ ยังไงก็ต้องรถสีเขียวใกล้ชิดธรรมชาติแน่นอนนนน

ระหว่างทาง

คือก่อนจะขึ้นรถเขียวๆนี่ ข้าพเจ้าก็ไปขอน้ำร้อนชงกาแฟที่เหลือจากคุณพี่บนรถทัวร์มากินระหว่างนั่งบนรถ อากาศเย็นกำลังดี ไม่มีแดด ลมพัดตีหน้าเราไปเรื่อยๆ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ ภูเขา และหญ้าสีเขียวๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดี สดชื่น ที่ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลยทีเดียว แค่นึกถึงก็สดชื่นเอามากๆ

น้ำตกภูสอยดาว


เมื่อมาถึงพวกเราก็เดินตัวปลิวด้วยใจเต้นระทึก แม้ข้าพเจ้าจะมีาระเป็นน้ำสามลิตรแต่ก็ได้หารู้สึกอะไรไม่ ชิวๆ ก่อนทางขึ้นเป็นน้ำตกูสอยดาว เราเลยแวะถ่ายรูปด้วยความเบิกบานใจ และจิตใจพร้อมสู้ เดินสำรวจเส้นทางธรรมชาติด้วยพละกำลังที่เต็มเปี่ยม น้องนกมีความหวังมากจริงๆกับการมาเที่ยวครั้งนี้ว่า "ชั้นจะต้องได้รูปโพรไฟล์พิกเจอร์ใหม่" 

ภาพรวม ณ น้ำตกภูสอยดาว
น้องนก อีเจ๊โม นังเป้ เมเม่ ภีม(ฐา) อิซัน ตามลำดับ


ถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจ


น้องซันผู้มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะมาถ่ายทางช้างเผือกที่นี่ มีความรอบคอบยิ่งนัก นำขาตั้งกล้องมาด้วย พวกเราจึงมีาพรวมกันอย่างที่เห็น เราใช้เวลาถ่ายรูปที่นี่นานกันประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้ จึงจะได้เดินทางขึ้นไปจริงๆ

เพิ่งการเดินทางจะเริ่มต้น

พันธมิตรแห่งภูสอยดาว

ทางที่ขึ้นบอกว่าเราต้องขึ้นไปสูง 6.5 กิโลเมตร คิดเหมือนกันว่าทำไมมันน้องจังวะ มันจะทันได้เหนื่อยหรอ แค่ 6.5 กิโลเมตรเนี่ยนะ ถึงจะเป็นการวัดระยะการกระจัดก็เถอะ พวกที่มารีวิวว่าเหนื่อยอย่างนั้น เหนื่อยอย่างนี้ มันต้องเป็นพวกไม่ฟิตร่างกายแล้วมาเดินป่า อะไรเทือกนั้นแน่ๆ เฮอะมันจะสักเท่าไหร่กันเชียว

ตอนเราเดินขึ้นก็มีคนเดินสวยลงมาเป็นระยะ มีคนยื่นไม้ยาวๆให้เราแล้วกล่าวให้กำลังใจว่า ตอนนี้มันยังไม่ต้องใช้ไม้พวกนี้หรอกครับ แต่ทางข้างหน้าต้องใช้ โอเค รับไว้ก็ได้ ระยะทางมีบอกเป็นระยะว่าเราผ่านมาเท่าไหร่ทุกๆ 500 เมตร เจออะไรเราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อย ไม่รีบ ชิวๆ ชื่นชมธรรมชาติ มองความงามระหว่างทางไปเรื่อยๆ มีป้ายเป็นข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติให้เราหยุดอ่านเป็นระยะ

หยุดถ่ายภาพเป็นระยะ

เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจกับการใกล้ชิดธรรมชาติ ที่นี่แทบไม่มีใครเลยนอกจากคนเดินสวนลงมา ลูกหาบ เจ้าหน้าที่ และพวกเรา!! แวะถ่ายาพกันไปตลอดทาง เดินมาสองกิโลเมตรครึ่งแล้ว ยังรู้สึกว่ามันชิวมาก ทำไมมันชิวกว่าูกระดึงอีกห๊ะ โอ๊ยสบ๊ายยย 


จากภาพคือเรารู้สึกดี กระดี๊กระด๊าหน้าตายังสดชื่น เดินถ่ายรูปคุยกันไปเรื่อย

เนินส่งญาติ


เราเดินกันไปเรือยๆก็มาถึงเนินส่งญาติซึ่งก็ถือว่าเหนื่อยพอสมควร นิดๆหน่อยไม่ได้ล้ามากมาย เดินต่อไปเราก็เจอต้นไม้คือกระโถนพระฤาษี ซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้ที่หายากในตอนนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตฉันเหมือนกันที่เคยเห็น มันก็สยและแปลกดี

กระโถนพระฤาษี
กระโถนพระฤาษีเหี่ยวแล้ว

ผู้ใจบุญ
ที่ที่เรามาพบผู้ใจบุญ

ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้เที่ยงเต็มทน เราก็เหนื่อยล้านิดหน่อย นางเป้และนางซันก็ตระหนักได้ว่าไม่มีเสบียงระหว่างทางเลย อยู่กับลูกหาบหมด ทั้งคู่จึงรีบเดินกันอย่างหนัก เราสามคนไม่รีบจึงเดินรั้งท้ายตามมา พบว่าทั้งสองมานั่งรอเราที่โขดขินที่พักระหว่างทาง และนั่งสนทนากับพี่ที่กำลังเดินลงมาด้วย พี่สองคนนั้นพูดจาให้กำลังใจเราว่า "เนี่ยเดินไปอีกถึงเนินปราบเซียนก็ได้หนึ่งในสามของทางแล้ว" ตอนนั้นฉันเกิดอาการตกตะลึงนิดหน่อย เพราะนี่เราเดินมาก็เป็นเวลาประมาณ เกือบสามชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงครึ่งทางอีกหรอ แต่ในใจก็ยังคิดว่าพี่เค้าคงจะล้อเล่น ก่อนจากกันพี่ผู้ใจดีได้มอบลูกอม หมากฝรั่ง และช็อกโกแลตให้พวกเรา เพื่อเป็นแรงในการเดินต่อไป พร้อมกับกล่าวสำทับว่า "ตอนนี้ของพวกนี้อาจะยังไม่มีค่า แต่พอเดินขึ้นไปของพวกนี้จะมีค่ามาก สู้ๆ" พี่ให้กำลังใจเราและเดินจากไป

เป้และซันหิวมากจึงขอแยกเดินไปก่อน เพราะหากไม่รีบคาดว่าคงจะหิวต่ายได้ ส่วนพวกเราคิดว่าหิวเมื่อไหร่ค่อยแวะกินข้าวแล้วกัน เอาทางเรียบๆสบายๆ

ขณะนี้จึงเหือผู้ร่วมทางกับข้าพเจ้าเพียงแค่สี่คนเท่านั้น..

เดิน เดิน เดิน


หลังจากแยกทางกันข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกเมื่อยตะหงิดๆแล้วแหละ แต่ก็ยังไม่เท่าไหร่ ส่วนอิเจ๊โมก็คิดว่านี่โหดแล้วหรอวะ เอราวัณที่เคยไปมาเหนื่อยกว่านี้อีก  

เมื้อเที่ยง

เราเดินเลยเนินปราบเซียนซึ่งรู้สึกว่าโหดพอสมควร และคิดว่าเจอทางราบเมื่อไหร่จะแวะกินข้าว แต่เราเดินไปเท่าไหร่ มันก็ไม่ถึงทางราบสักที มีแต่ทางชันชัน ให้เรารู้สึกเมื่อยน่องเหลือเกิน หิวจะตายอยู่แล้ว พอเราเจอขั้นบันไดก็เลยแวะนั่งกันคนละคั่น แล้วนั่งกินมันเลยตรงนี้ละกัน 

เมื้อนี้ฉันนำผัดกระเพราะของคุณพี่สจ๊วตออกมากิน เปิดออกมานี่ไขจับกันเป็นก้อน ข้าวนี่เย็ดชืด แต่พอตักเข้าปากท่นั้นแหละ โอ้โห นี่มันสวรรค์ชัดๆ ผัดกระเพราะหมูสับโง่ๆที่แท้ก็คือสิ่งวิเศษที่สวรรค์พระทานให้กับโลกเรา เพิ่งจะรู้วันนี้นี่เอง 

นั่งไปตัวคล้ายๆยุงตัวใหญ่ๆไม่แน่ใจว่าเรียกคุ่นหรือเปล่าก็บินมาเกาะไป กัดเต็มไปหมด รีบกินจึงเดินต่อพอเราเดินต่อมาสักพักก็พบว่ามี ทางราบ!! โอ๊ยยย นี่ชั้นไปนั่งกินลำบากๆมาตั้งนาน น้ำตาจะไหล หลังเมื้อเที่ยงไม่ได้ทำให้แรงขากลับมาสักนิด มีแต่จะล้าลงๆทุกที

คุณพี่โชค

เราเดินสวนกับเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่ง บอกว่าชื่อพี่ต้อย พวกเราแค่เดินสวนกันแต่คุณพี่ต้อยดูจะมีจิตใจเมตตากับเด็กน้อยตาดำๆอย่างพวกเราซะเหลือเกินจึงบอกว่า ขึ้นไปข้างบนให้ไปหาพี่โชค บอกให้หาน้ำร้อน ก่อไฟให้เราอย่าดี ภีมฐาบอกว่าจะขึ้นไปบอกว่าคุณพี่ต้อยบอกให้พี่โชคหามาม่าหาข้าวให้เรากินฟรี! ภีม! ตอนอยู่คณะเธอไม่ได้เป็นคนร้ายแบบนี้นี่ ฮ่าๆๆ คิดจะแปลงสารในสถานที่อับสัญญาณแบบนี้เลยหรอ

ครึ่งทาง

เหนื่อยล้าเต็มทนขอนอนพัก

ค่ะ ตอนนี้ก็ไม่รู้จะบรรยายยังไง เราก็ได้แค่เดิน แล้วสวนกับลูกหาบคนหนึ่งถามว่าอีกไกลไหม พี่บอกว่าถึงครึ่งทางแล้ว ไอเราก็อ๋อพี่เค้าคงล้อเล่นเนี่ยนเดินมาจนเหนื่อยแล้วข้างหน้าคงถึง สักพักมีคนเดินผ่านมาอีกก็ได้รับคำตอบแบบเดิม ตอนนี้เริ่มมั่นใจแน่แล้วว่าเค้าไม่ได้ล้อเราเล่นแน่ๆ มันเพิ่งจะถึงครึ่งทาง!!! ป้ายหลักทางทุกห้าร้อยแมตรมันหายไปนานมาก ทั้งที่เราเดินมาไกลมาก ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ยิ่งเดินยิ่งล้า เราจึงนอนพักที่แคร่แห่งหนึ่งด้วยความเมื่อยล้า และเริ่มขบคิดกับตัวเองว่า "นี่กูมาทำไมวะ"


ตอนนี้คนที่เหนื่อยที่สุดเห็นจะเป็นภีม ถึงขั้นไม่อยากให้ใครถ่ายรูปภีมตอนนี้เลยทีเดียว นั่งด้วยท่าทางกลุ้มใจสุดขีด เอ่อ อย่าว่าแต่ีมเลยตอนนี้ขวดน้ำสามลิตรด้วยความงกของข้ามันก็หนักเหลือเกิน

สภาพป่า

น้องนกกับเจ๊โมนอนพักผ่อน
เดินต่อไป ข้างๆคือรองเท้าแตะ


ไม่ว่าเส้นทางจะลำบากสักเพียงใด ณ ตอนนี้พวกเรากลับไม่ได้แล้วค่ะ ถึงกับต้องร้องเพลง "กลับตัวก็ไม่ได้ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง" ของพี่เบิร์ดเลยทีเดียว นึกสงสัยเหมือนกันว่าพี่เบิร์ดต้องมาูสอยดาวแน่ๆถึงได้แต่งเพลงนี้ขึ้นมาได้ ใกล้ทะลุขีดจำกัดแล้วค่ะ ณ จุดนี้ ทางก็เริ่มชันขึ้น มองเห็นยอดเขาอยู่ลิบๆก็แอบสะพรึ่งเหมือนกันว่าที่ที่เราไปคือบนยอดโน้นใช่มั๊ย แล้วคำตอบก็คือใช่ สยองมากเวลานั้น

เนินมรณะ

แวะพักก่อนไปเนินมรณะ

เนินมรณะคือชื่อเนินสุดท้ายที่เราจะไปค่ะ ตอนนั้นก็บ่ายสามแล้วโดยประมาณ ณ จุดนี้คือกลัวไปไม่ถึงก่อนตะวันตกดินอย่างเดียว หมอกเริ่มปกคลุมยอดเขา อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ความสนุกเริ่มหดหาย มีแต่ความคิดอยากกรี๊ดดดด โว๊ยยย นี่มันทริปทรมาณตัวเองชัดๆ เดินไปร้องเพลงกันไป อยากร้องไห้กันไป ซึ้งมากค่ะกับที่บอกว่าูกระดึงมันแค่อนุบาล อิเจ๊โมก็ดูเริ่มอยากจะถอนคำพูดที่ว่าเอราวัณโหดว่า เรานั่งพักถ่ายคลิปหลอกลวงประชาชนว่าที่นี่ชิวมากทุกคนอย่าลืมมาสักครู่ก่อนจะเกินต่อ


ทางไปลายสนนี่ก็มีเยอะมาก แต่หลักกิโลจำนวนมันไม่ลดสักที เหมือนหลอกให้ดีใจมาให้เห็นแต่ป้าย หาทางยังมองไม่เห็น นึกแล้วก็น้ำตาอยากไหลร่วงริน ทางที่เนินมรณะนี่โหดมาก ทั้งๆที่ลูกหาบคนสุดท้ายที่เดินสวนไปตะกี้บอกว่าเนินนี้ชิวๆ พร่ำบอกกันเองว่านี่มันเลยขีดจำกัดของชั้นมาหลายรอบแล้วนะ เหนื่อยมากๆจนต้องหยุดพักทุกๆ 3 ก้าวที่เดิน น่องนี่เกร็งไปหมด มาทำไมเนี่ยย ทำไมไม่นอนอยู่บ้าน พลางพิจจารณาไปด้วยว่าอีพวกมาูสอยดาวนี่ต้องชอบเดินป่าถึงขั้นโรคจิต!



เราเดินไปเรื่อยๆมีแต่ทางขึ้นเขาซึ่งเป็นทางชัน เดินเท่าไหร่ก็เดินไม่ถึง ทุกคนดูจะสติแตกกันหมดแล้ว เหนื่อยจนร้องเพลงหรือพูดในสิ่งที่ปกติไม่ค่อยพูด ร้องเพลงอะไรได้เรื่อยเปื่อยมาก พีคจนเลยเส้น!

เราเดินขึ้นไปจนนึกว่าสุด แต่ก็มีขึ้นไปอีก เดินผ่านป่าเฟิร์นที่มีูมิประเทศคล้ายป่าไดโนเสาร์ รู้สึกราวกับหนีไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ก็ใช่สิ นี่ตอนนี้ชั้นเหนื่อยจนเป็นบ้าไปแล้ว!! จนถึงทางราบก็ยังเดินไปไกลมาก วี่แววของเต้นท์หรือคนสักนิดก็ไม่มีให้ปิติเลยสักนิด

อีเจ๊โมยิ้มแบบฝืนสุดขีด 


มีแต่หมอกไม่เห็นอะไรเลย

ลานสน



เราเดินประหนึ่งว่าชีวิตนี้เราไม่มีอะไรทำอีกแล้วนอกจากเดิน จากนั้นก็เหมือนสวรรค์ประทานพรมาให้ เหมือนพระมหาชนกที่ว่ายน้ำจนเหนื่อยแล้วมานางเมขลามาช่วย ฉันเห็นรั้ว รั้วที่บอกว่าเข้าใกล้เขตที่กางเต้นท์ทุกที!! แล้วฉันก็ดีใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเราเห็นป้ายว่าเรามาถึงแล้วววววววววววววววววว!!



ความรู้สึกที่เหมือนได้เปนผู้พิชิตอะไรสักอย่างัมนเป็นอย่างนี้นี่เอง ขอบอกเลยนี่ภูมิใจมากที่ได้มาถึงที่นี่ เอาไปโม้คนอื่นได้ทั้งชาติว่าชั้นเคยมาภูสอยดาวแล้ว แทบจะดีใจกระโดดกอดกับเพื่อน แต่ข้างข้านี่แทบไม่มีแรงแล้วจริงๆ ความรู้สึกตอนมาถึงแล้วนึกทบทวนระหว่างทางที่เราเดินมาทั้งหมด ได้สูดอากาศข้างบนนี่มันเยี่ยมยอดจริงๆ


โปรดติดตามชมตอนอวสานด้วย
ขอบคุณาพจากกล้องเจ๊โมและน้องซัน