พอดีว่าวันนี้ที่บ้านฝนตกแรง..
เลยนึกถึงบรรยากาศตอนขึ้นค่าย เลยมีอารมณ์จะเขียนเรื่องราวต่อจากเมื่อตอนที่แล้ว
แต่ผ่านมาเริ่มนานก็กลัวความทรงจำจะลางเลือน..
ต่อรถสีเหลืองๆ
รถที่ใช้ขนของไปต่อ
รถที่เรานั่งไปต่อ ข้างหลังข้าพข้าพเจ้าและแจ็ค
หลังจากข้าพเจ้าตื่นขึ้นมา และได้พบกับวาวเพื่อนใหม่ รถที่จะพาเราไปต่อ ที่เราเฝ้ารอกันด้วยความง่วงงุน ปนตื่นเต้นก็มา เราช่วยกันขนของขึ้นรถขนของ และมีรถสีเหลือง(คล้ายๆรถแดงในเชียงใหม่) อีกสามคันให้เราแยกกันนั่งไปตามอัธยาศัย โดยที่แก้วนั่งไปบนคันรถขนของพร้อมกับกีร์ต้าหนึ่งตัวและชุดชาวเชียงใหม่ของนาง ตอนที่แก้วนั่งอยู่บนกองขนของพะเนินนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันน่าสนุก ติส และอยากจะนั่งด้วยเหลือเกิน! แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ได้นั่งไปกับรถปกติ
สภาพในรถสีเหลือง
การเดินทางบนรถเหลือง
ตอนนั้นพอรู้ว่าต้องนั่งอีก แค่คิดก็เมื่อยตูดขึ้นมาทันที แต่เราก็ต้องนั่งต่อไป ตอนนั่งบนรถสีเหลืองๆ ทุกคนต่างก็ขยับซ้าย ขวา หาท่าที่คิดว่าเมื่อยน้อยที่สุด การเมื่อยจากการนั่งรถไฟเมื่อวานยังไม่จางหายไปไหนเลย รถขับออกไปได้สักพัก รถคันที่ขนของที่มีแก้วนั่งเล่นกีต้าในชุดชาวเชียงใหม่อยู่นั้น ผักตกลงมาบนถนน ข้าพเจ้าและเพื่อนในรถเหลืองต้องวิ่งลงมาเก็บมะนาว ฟัก ที่กลิ้งไปมาบนถนนด้วยความขำ และตื่นเต้น รู้สึกว่ามันช้างเป็นการเดินทางที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ฮ่าๆๆ
เมื่อตอนก่อนรถออกนางไอซ์ก็ตามหายาแก้เมารถ เพราะค่ายก่อนๆมานางคงจะเมาอยู่เป็นประจำ ข้าพเจ้าก็เลยล้อนางไอซ์ขำๆเรื่องเมารถ พร้อมหัวเราะด้วยความสะใจ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า พอรถขับมาถึงบริเวณที่ต้องขึ้นเขาข้าพเจ้ากลับเป็นคนรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา พร้อมกับต้องขอยาแก้เมารถของนางไอซ์มากิน แล้วก็พยายามนอนให้หลับๆตอนรถโค้งซ็ายโค้งขวาอย่างมึนเมา กรรมอาจจะตามทันข้าพเจ้าก็เป็นได้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเมารถนี่นา
ข้าพเจ้าและทุกคนในรถเหลืองคันของข้าพเจ้า ต่างพากันนอนหลับ ขณะรถเริ่มขึ้นเขา แต่มายและวาวให้ข้าพเจ้านอนเหยียดๆขาเพราะรู้สึกเมา ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้หลับดี ฝนก็ตกลงมาแรงมากๆ จนพวกเราต้องช่วยกันพยายามปิดที่บังน้ำฝน ในใจก็เป็นห่วงกระเป๋ากลัวว่าจะเปียก แต่ก็คิดอย่างปลงๆว่ามันคงเปียกหมดนั่นหล่ะ เพราะรถสีเหลืองขนของไม่ได้คลุมผ้ากันฝนไว้ ไม่อยากจะนึกสภาพ! ของทุกอย่างในกระเป๋าทุกคนเปียก แค่คิดก็อยากร้องไห้ แต่ก็ชั่งมันเถอะ ฮ่าๆๆ ผ่านไปไม่นานฝนก็หยุด ถนนเส้นต่อมามันแห้งประหนึ่งว่าไม่เคยมีฝนตกมาก่อนเลย
เปลี่ยนรถครั้งสุดท้าย แล้วมุ่งหน้าขึ้นดอยกันเถอะ
สักพักข้าพเจ้ารู้สึกปวดฉี่มาก เลยแจ้งกับนางไอซ์ผู้ร่วมรถมาด้วยกัน นางไอซ์ก็โผล่หน้าไปตะโกนถามรถเหลืองคันข้างหน้าว่ามีใครอยากฉี่บ้างมั๊ย คือการติดต่อสื่อสารของนางไม่รู้จะคิดว่าขำหรือน่ารักประหนึ่งมารูโกะดี แต่ก็ซึ้งใจที่นางพยายามช่วยเหลือ (ต้องเข้าใจอารมณ์คนปวดปัสสาวะสุดจะทนถึงจะเข้าใจ) สุดท้ายเราก็เลยแวะปั๊มแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีรถมาเปลี่ยนของครั้งสุดท้ายเพื่อขึ้นดอยอย่างแท้จริง
รถเหลืองออกจากปั๊มพาเราไปกินข้าวเมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นค่าย
เปลี่ยนถ่ายของครั้งสุดท้าย
แก้ว(ในชุดคนเชียงใหม่) และต้น(เชี่ย) ผลัดเปลี่ยนของอย่างขมักเขม้น
เมื่อผลัดเปลี่ยนของเสร็จ เราก็ขึ้นรถเหลืองคันเดิมไปกินข้าว หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เปลี่ยนเป็นรถพร้อมขึ้นดอย เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการขึ้นค่ายของเราในครั้งนี้ ที่จริงคือเป็นรถชาวบ้านที่มารับเรานั่นเอง
มีรถอยู่สองคัน ในตอนแรกที่ยังไม่มีใครขึ้นรถ สายตาของข้าพเจ้าก็พลันไปเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ขึ้นไปนั่งบนหลังคาด้วยความติส(ใส่แว่นกันแดดด้วย ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีแดดเลย) สายตามองไปข้างหน้า ดุจดั่งมองไปยังอนาคตอันสดใสของเขาเอง ฮ่าๆ คือเฟิร์สนั่นเอง ในใจก็แอบคิดนะว่า ขึ้นเขานะเว้ย ทางน่าจะไม่ดี นั่งบนนั้นมันจะตกไหมเนี่ย (คิดในใจทั้งๆที่ตัวเองก็อยากนั่งแบบนั้นมั่ง)
ซ้ายสุดคือแก้วผู้นั่งติสคนแรก โด ต้อง เจ๊ต้น ตามลำดับ
ข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งบนกระบะด้วยความปกติบนรถคันหนึ่ง หร้อมกับเกาะขอบกรงอย่างมีความหวังว่าจะได้ชมวิวพร้อมกับมีลมปะทะหน้าด้วยความสดชื่น
ข้าพเจ้าได้นั่งบนหลังคาด้วยนะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด
เอ ผู้นั่งข้างล่าง
ทุกคนดูตื่นเต้นกับการเดินทาง
บนรถของข้าพเจ้านั้นแก้วก็ได้ขึ้นไปนั่งบนหลังคา พลันสายตาของแก้วก็เหลือบมาเห็นข้าพเจ้า ที่คงจะเกาะกรงข้างรถอย่างมีความหวัง ทันใดนั้นแก้วก็ชวนข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งบนหลังคาด้วยกัน วินาทีนั้นข้าพเจ้าแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ไม่นึกเลยว่าจะมีคนชวนข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้หญิงขึ้นไปนั่งบนนั้น มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำมาโดดตลอด ข้าพเจ้าบรรยายความรู้สึกนั้นไม่ถูก ดีใจ ทราบซึ้งใจ และตื่นเต้นไปในคราวเดียวกัน ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาอย่างมีความสุข คิดว่าการเดินทางขึ้นดอยในครั้งนี้ คงจะวิเศษมาก และเป็นความทรงจำที่งดงามไปชั่วชีวิต กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ดีใจมากเลย
ข้าพเจ้าและแก้วนั่งบนหลังคา
แล้วนางไอซ์ก็มานั่งบนหลังคาด้วยกัน ส่วนดนย์ประธานค่ายพิเศษหน่อย เพราะได้ขึ้นมอเตอไซต์ของครูหรือ อบต. ก็ไม่รู้จำไม่ได้ ขึ้นไปจนถึงค่ายเลยทีเดียว
การเดินทางที่แสนพิเศษของท่านดนย์ประธานค่าย
บรรยากาศการเดินทางขึ้นค่าย
ไร่กะหล่ำ
ภูเขาใกล้เมฆ
วาว ที่ข้าพเจ้าบอกว่านางสวย
การเดินทางขึ้นดอยนั้น บรรยากาศสวยงามมาก อากาศก็ดีมาก แต่มีฝนตกมาเรื่อยๆ ทั้งสองข้างเป็นภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา บางพื้นที่ทำเป็นไร่ ตอนเห็นตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่ามันคงเป็นไร่คะน้า แต่มารู้ทีหลังว่าจริงๆคือไร่กะหล่ำ แล้วยังมีฟักทอง แล้วก็ปลูกข้าวอีกด้วย
จับก้อนเมฆ(ทำฝันในวัยเด็กเป็นจริงแล้วนะ)
ตอนแรกสภาพทางก็ยังดีอยู่ อยู่บนหลังคารู้สึกสนุกมาก ลมปะทะหน้าแล้วรู้สึกดีและสดชื่น ข้าพเจ้าพยายามสูดหายใจเข้าอย่างเต็มปอด ยิ่งทางสูงขึ้นไปสภาพถนนยิ่งไม่ค่อยดี ข้าพเจ้าเลยต้องเกาะรถแน่นขึ้นเข้าไปใหญ่ พลอยนึกถึงตอนไปเขาคิชกูฎกับแม่ ที่ทางขึ้นมันทรหดมาก แต่แก้วและนางไอซ์บอกว่านี่สภาพทางขึ้นดีมากแล้วนะ ค่ายก่อนๆลำบากกว่านี้...
ยิ่งขึ้นไปสูงข้าพเจ้าพบว่ายิ่งเข้าใกล้ก้อนเมฆมากยิ่งขึ้น นึกถึงความฝันสมัยเด็กของตัวเอง ที่นั่งมองก้อนเมฆแล้วคิดว่าอยากจะลองจับก้อนเมฆและลองกินก้อนเมฆดูสักครั้ง เมื่อตอนนั้นก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเราต้องขึ้นไปสูงแค่ไหนนะถึงจะลองจับก้อนเมฆได้ แต่วันนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเราได้มาอยู่ใกล้ความฝันของเราเหลือเกิน(ใกล้ก้อนเมฆมาก) เลยเล่าความฝันขำๆในวัยเด็กในเพื่อนๆฟัง
แต่ตอนนี้คิดว่าก้อนเมฆมันเป็นละอองน้ำ เข้าใกล้จะมองเห็นมันได้ยังไง ดังนั้นพอเราขึ้นไปสูงเรื่อยๆ เลยคิดว่าเนี่ย เราต้องอยู่ในม่านเมฆแล้วเป็นแน่แท้ ถ้าคนข้างล่างมองเราขึ้นมา ยังไง๊ยังไง เราก็อยู่ในก้อนเมฆ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆเลยลองเอื้อมือไปสัมผัสไปอากาศ และคิดว่าตอนนี้เราต้องจับก้อนเมฆอยู่แน่ๆ "มันนิ่มๆดีนะ" ข้าพเจ้าบอกเพื่อนๆ และคิดจริงจังอย่างมีความสุขว่า ได้จับก้อนเมฆแล้ว รู้สึกดีมาก รู้สึกเหมือนได้ทำความฝันในวัยเด็กที่ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นจริงให้เป็นจริงขึ้นมา!!!
รถก็ขับไวด้วย "กินก้อนเมฆด้วยทุกคน อั้มมม" แก้วตะโกนบอกทุกคน แล้วเราก็อ้าปากกินก้อนเมฆกัน ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ถึงแม้ว่ารถชาติมันจะไม่ได้หวานๆเหมือนสายไหมที่ฉันจินตนาการไว้ในตอนเด็ก แต่ถ้าถามว่ารสชาติของมันเป็นยังไง มันก็น่าจะเป็นรสชาติหวานมัน ที่กินแล้วทำให้รู้สึกดี แล้วยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีก ที่มีเพื่อนๆมากินก้อนเมฆด้วยกัน ไม่นึกเลยว่าจะมีคนมาทำอะไรแบบนี้ด้วยกัน มันจะเป็นความทรงจำไปชั่วชีวิตของฉันเลย
ครึ่งทางแล้ว ต่อจากนี้คือของจริง
นางไอซ์บนหลังคา ณ ตาน้ำ
ทุกคนลองชิมรสชาติของน้ำต้นตำรับ
รถจอดให้ตอนถึงตาน้ำ ครูเดินออกมาบอกจากในรถว่า "นี่เพิ่งถึงครึ่งทาง" คิดในใจว่านี่มาไกลมากแล้วนะ เพิ่งถึงครึ่งทางเองหรอ ตอนนั้นเองฉันก็ปวดฉี่อีกแล้ว ห้องน้ำก็ไม่มี ครูเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวจะพาไปฉี่ที่โขดหินในป่า ซึ่งข้าพเจ้าก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ การปัสสาวะในป่าดิบชื้นนี่ก็ไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมากนัก กิกิกิ
on the way
มายและบรรยากาศติสๆ
หลังจากพักอาน้ำลูบไล้ตัวและดื่มน้ำที่ตาน้ำแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางต่อ ครูบอกว่าต่อไปจะเป็นของจริง! เลยมีคนพูดขึ้นมาว่า "ถ้างั้นที่ผ่านมาคงจะเรียกว่าวิชา Pre-doi แล้วต่อไปคงเป็นวิชา Doi1" ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วย แล้วก็ขำๆกันอย่างมีความสุข ทางต่อมามีกิ่งไว้ยื่นออกมาเต็มไปหมด เราต้องคอยหลบซ้ายขวา ยังกับกำลังเล่นเกม Temple run ทางก็หวาดเสียวมากขึ้น มีทางขึ้นชัน แล้วก็มีทางลงชัน แต่ฉันรู้สึกว่ามันสนุกยิ่งขึ้น เย้ๆๆๆ ฝนตอนนั้นก็ตกหนัก พวกเราเปียกจนคิดว่าชั่งมันเถอะเปียกก็เปียก เป็นการเดินทางที่สนุกจริงๆ
ถึงหมู่บ้านแล้ว
ภาพทางเข้าหมู่บ้าน(ในตอนที่ฝนไม่ตก)
หลังจากการเดินทางอันยาวนานเส้นทางที่ยากลำบาก พร้อมฝนกระหน่ำ เราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่เราจะมาอยู่อาศัย ตลอด 10 วันนี้ พอถึงโรงเรียนเท่านั้นแหละ ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นนี่เรียกได้ว่าไม่ตรงกับที่จินตนาการเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ภาพที่เห็นคือมีเต้นท์กางไว้ มีเวที แล้วก็เหมือนมีงานเลี้ยงฉลองอะไรบางอย่าง พวกเราลงจากรถด้วยความงงงวยไปยังเต้นท์นั้น ดนย์บอกว่าเขามีจัดเลี้ยงต้อนรับพวกเรา แล้วก็อำลาครูที่กำลังจะเกษียณด้วย
ภาพร่องรอยเวทีที่เหลือหลังงานเลี้ยงเลิก
มีน้องๆเด็กนักเรียนแต่งตัวชุดไทย ชุดชาวเผ่า หลายแบบ เหมือนจะมีการแสดงอะไรบางอย่าง พอพวกเราลงจากรถมาจนครบ ผอ. ก็เรียกเราจำนวน 26 คนไปยืนหน้าเวที คือตอนนั้นฝนก็ยังตกลงมาไม่หยุด ผอ. นี่ก็ติสเหลือเกิน เรียกเราออกไปยืนกลางสายฝน กล่าวต้อนรับ แนะนำตัวคุณครูบนดอย แล้วก็ให้พวกเราแนะนำตัว ณ จุดนั้นคือเปียกไม่รู้จะเปียกยังไงแล้ว ก็เลยต้องเลยตามเลย คิดซะว่าเป็นประสบการณ์ประหลาดที่น่าจดจำ
หลังจากนั้นก็มีการแสดงต้อนรับจากน้องๆ ภาพ ณ ตอนขึ้นมาตอนแรก ที่นี่มันเหนือความคาดหมายเราไปหลายอย่างจริงๆ..
โปรดติดตามชมตอนต่อไป..
ขอบคุณรูปภาพจาก ดนย์ เนย จั่น แจ็ค และอื่นๆ (หลายกล้องมาก)