วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่ายสบเมยเอ่ยฮัก ตอน2 - ขึ้นค่าย-จับก้อนเมฆ-เดินทางถึงหมู่บ้าน


พอดีว่าวันนี้ที่บ้านฝนตกแรง..
เลยนึกถึงบรรยากาศตอนขึ้นค่าย เลยมีอารมณ์จะเขียนเรื่องราวต่อจากเมื่อตอนที่แล้ว
แต่ผ่านมาเริ่มนานก็กลัวความทรงจำจะลางเลือน..

ต่อรถสีเหลืองๆ


รถที่ใช้ขนของไปต่อ

 

รถที่เรานั่งไปต่อ ข้างหลังข้าพข้าพเจ้าและแจ็ค

               หลังจากข้าพเจ้าตื่นขึ้นมา และได้พบกับวาวเพื่อนใหม่ รถที่จะพาเราไปต่อ ที่เราเฝ้ารอกันด้วยความง่วงงุน ปนตื่นเต้นก็มา เราช่วยกันขนของขึ้นรถขนของ และมีรถสีเหลือง(คล้ายๆรถแดงในเชียงใหม่) อีกสามคันให้เราแยกกันนั่งไปตามอัธยาศัย โดยที่แก้วนั่งไปบนคันรถขนของพร้อมกับกีร์ต้าหนึ่งตัวและชุดชาวเชียงใหม่ของนาง ตอนที่แก้วนั่งอยู่บนกองขนของพะเนินนั้นเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันน่าสนุก ติส และอยากจะนั่งด้วยเหลือเกิน! แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ได้นั่งไปกับรถปกติ


สภาพในรถสีเหลือง

การเดินทางบนรถเหลือง


                    ตอนนั้นพอรู้ว่าต้องนั่งอีก แค่คิดก็เมื่อยตูดขึ้นมาทันที แต่เราก็ต้องนั่งต่อไป ตอนนั่งบนรถสีเหลืองๆ ทุกคนต่างก็ขยับซ้าย ขวา หาท่าที่คิดว่าเมื่อยน้อยที่สุด การเมื่อยจากการนั่งรถไฟเมื่อวานยังไม่จางหายไปไหนเลย รถขับออกไปได้สักพัก รถคันที่ขนของที่มีแก้วนั่งเล่นกีต้าในชุดชาวเชียงใหม่อยู่นั้น ผักตกลงมาบนถนน ข้าพเจ้าและเพื่อนในรถเหลืองต้องวิ่งลงมาเก็บมะนาว ฟัก ที่กลิ้งไปมาบนถนนด้วยความขำ และตื่นเต้น รู้สึกว่ามันช้างเป็นการเดินทางที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ฮ่าๆๆ

                    เมื่อตอนก่อนรถออกนางไอซ์ก็ตามหายาแก้เมารถ เพราะค่ายก่อนๆมานางคงจะเมาอยู่เป็นประจำ ข้าพเจ้าก็เลยล้อนางไอซ์ขำๆเรื่องเมารถ พร้อมหัวเราะด้วยความสะใจ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า พอรถขับมาถึงบริเวณที่ต้องขึ้นเขาข้าพเจ้ากลับเป็นคนรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา พร้อมกับต้องขอยาแก้เมารถของนางไอซ์มากิน แล้วก็พยายามนอนให้หลับๆตอนรถโค้งซ็ายโค้งขวาอย่างมึนเมา กรรมอาจจะตามทันข้าพเจ้าก็เป็นได้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเมารถนี่นา

                    ข้าพเจ้าและทุกคนในรถเหลืองคันของข้าพเจ้า ต่างพากันนอนหลับ ขณะรถเริ่มขึ้นเขา แต่มายและวาวให้ข้าพเจ้านอนเหยียดๆขาเพราะรู้สึกเมา ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้หลับดี ฝนก็ตกลงมาแรงมากๆ จนพวกเราต้องช่วยกันพยายามปิดที่บังน้ำฝน ในใจก็เป็นห่วงกระเป๋ากลัวว่าจะเปียก แต่ก็คิดอย่างปลงๆว่ามันคงเปียกหมดนั่นหล่ะ เพราะรถสีเหลืองขนของไม่ได้คลุมผ้ากันฝนไว้ ไม่อยากจะนึกสภาพ! ของทุกอย่างในกระเป๋าทุกคนเปียก แค่คิดก็อยากร้องไห้ แต่ก็ชั่งมันเถอะ ฮ่าๆๆ ผ่านไปไม่นานฝนก็หยุด ถนนเส้นต่อมามันแห้งประหนึ่งว่าไม่เคยมีฝนตกมาก่อนเลย

เปลี่ยนรถครั้งสุดท้าย แล้วมุ่งหน้าขึ้นดอยกันเถอะ

                  สักพักข้าพเจ้ารู้สึกปวดฉี่มาก เลยแจ้งกับนางไอซ์ผู้ร่วมรถมาด้วยกัน นางไอซ์ก็โผล่หน้าไปตะโกนถามรถเหลืองคันข้างหน้าว่ามีใครอยากฉี่บ้างมั๊ย คือการติดต่อสื่อสารของนางไม่รู้จะคิดว่าขำหรือน่ารักประหนึ่งมารูโกะดี แต่ก็ซึ้งใจที่นางพยายามช่วยเหลือ (ต้องเข้าใจอารมณ์คนปวดปัสสาวะสุดจะทนถึงจะเข้าใจ) สุดท้ายเราก็เลยแวะปั๊มแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีรถมาเปลี่ยนของครั้งสุดท้ายเพื่อขึ้นดอยอย่างแท้จริง 


รถเหลืองออกจากปั๊มพาเราไปกินข้าวเมื้อสุดท้ายก่อนขึ้นค่าย


เปลี่ยนถ่ายของครั้งสุดท้าย


แก้ว(ในชุดคนเชียงใหม่) และต้น(เชี่ย) ผลัดเปลี่ยนของอย่างขมักเขม้น

                       เมื่อผลัดเปลี่ยนของเสร็จ เราก็ขึ้นรถเหลืองคันเดิมไปกินข้าว หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เปลี่ยนเป็นรถพร้อมขึ้นดอย เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการขึ้นค่ายของเราในครั้งนี้ ที่จริงคือเป็นรถชาวบ้านที่มารับเรานั่นเอง

                       มีรถอยู่สองคัน ในตอนแรกที่ยังไม่มีใครขึ้นรถ สายตาของข้าพเจ้าก็พลันไปเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ขึ้นไปนั่งบนหลังคาด้วยความติส(ใส่แว่นกันแดดด้วย ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีแดดเลย) สายตามองไปข้างหน้า ดุจดั่งมองไปยังอนาคตอันสดใสของเขาเอง ฮ่าๆ คือเฟิร์สนั่นเอง ในใจก็แอบคิดนะว่า ขึ้นเขานะเว้ย ทางน่าจะไม่ดี นั่งบนนั้นมันจะตกไหมเนี่ย (คิดในใจทั้งๆที่ตัวเองก็อยากนั่งแบบนั้นมั่ง)


ซ้ายสุดคือแก้วผู้นั่งติสคนแรก โด ต้อง เจ๊ต้น ตามลำดับ

                 ข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งบนกระบะด้วยความปกติบนรถคันหนึ่ง หร้อมกับเกาะขอบกรงอย่างมีความหวังว่าจะได้ชมวิวพร้อมกับมีลมปะทะหน้าด้วยความสดชื่น

ข้าพเจ้าได้นั่งบนหลังคาด้วยนะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด

เอ ผู้นั่งข้างล่าง

ทุกคนดูตื่นเต้นกับการเดินทาง


                   บนรถของข้าพเจ้านั้นแก้วก็ได้ขึ้นไปนั่งบนหลังคา พลันสายตาของแก้วก็เหลือบมาเห็นข้าพเจ้า ที่คงจะเกาะกรงข้างรถอย่างมีความหวัง ทันใดนั้นแก้วก็ชวนข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งบนหลังคาด้วยกัน วินาทีนั้นข้าพเจ้าแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ไม่นึกเลยว่าจะมีคนชวนข้าพเจ้าซึ่งเป็นผู้หญิงขึ้นไปนั่งบนนั้น มันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำมาโดดตลอด ข้าพเจ้าบรรยายความรู้สึกนั้นไม่ถูก ดีใจ ทราบซึ้งใจ และตื่นเต้นไปในคราวเดียวกัน ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล และปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาอย่างมีความสุข คิดว่าการเดินทางขึ้นดอยในครั้งนี้ คงจะวิเศษมาก และเป็นความทรงจำที่งดงามไปชั่วชีวิต กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ดีใจมากเลย


ข้าพเจ้าและแก้วนั่งบนหลังคา

               แล้วนางไอซ์ก็มานั่งบนหลังคาด้วยกัน ส่วนดนย์ประธานค่ายพิเศษหน่อย เพราะได้ขึ้นมอเตอไซต์ของครูหรือ อบต. ก็ไม่รู้จำไม่ได้ ขึ้นไปจนถึงค่ายเลยทีเดียว


การเดินทางที่แสนพิเศษของท่านดนย์ประธานค่าย

บรรยากาศการเดินทางขึ้นค่าย


ไร่กะหล่ำ


ภูเขาใกล้เมฆ


วาว ที่ข้าพเจ้าบอกว่านางสวย

                          การเดินทางขึ้นดอยนั้น บรรยากาศสวยงามมาก อากาศก็ดีมาก แต่มีฝนตกมาเรื่อยๆ ทั้งสองข้างเป็นภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา บางพื้นที่ทำเป็นไร่ ตอนเห็นตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่ามันคงเป็นไร่คะน้า แต่มารู้ทีหลังว่าจริงๆคือไร่กะหล่ำ แล้วยังมีฟักทอง แล้วก็ปลูกข้าวอีกด้วย

จับก้อนเมฆ(ทำฝันในวัยเด็กเป็นจริงแล้วนะ)

                         ตอนแรกสภาพทางก็ยังดีอยู่ อยู่บนหลังคารู้สึกสนุกมาก ลมปะทะหน้าแล้วรู้สึกดีและสดชื่น ข้าพเจ้าพยายามสูดหายใจเข้าอย่างเต็มปอด ยิ่งทางสูงขึ้นไปสภาพถนนยิ่งไม่ค่อยดี ข้าพเจ้าเลยต้องเกาะรถแน่นขึ้นเข้าไปใหญ่ พลอยนึกถึงตอนไปเขาคิชกูฎกับแม่ ที่ทางขึ้นมันทรหดมาก แต่แก้วและนางไอซ์บอกว่านี่สภาพทางขึ้นดีมากแล้วนะ ค่ายก่อนๆลำบากกว่านี้...

                       ยิ่งขึ้นไปสูงข้าพเจ้าพบว่ายิ่งเข้าใกล้ก้อนเมฆมากยิ่งขึ้น นึกถึงความฝันสมัยเด็กของตัวเอง ที่นั่งมองก้อนเมฆแล้วคิดว่าอยากจะลองจับก้อนเมฆและลองกินก้อนเมฆดูสักครั้ง เมื่อตอนนั้นก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเราต้องขึ้นไปสูงแค่ไหนนะถึงจะลองจับก้อนเมฆได้ แต่วันนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเราได้มาอยู่ใกล้ความฝันของเราเหลือเกิน(ใกล้ก้อนเมฆมาก) เลยเล่าความฝันขำๆในวัยเด็กในเพื่อนๆฟัง

                      แต่ตอนนี้คิดว่าก้อนเมฆมันเป็นละอองน้ำ เข้าใกล้จะมองเห็นมันได้ยังไง ดังนั้นพอเราขึ้นไปสูงเรื่อยๆ เลยคิดว่าเนี่ย เราต้องอยู่ในม่านเมฆแล้วเป็นแน่แท้ ถ้าคนข้างล่างมองเราขึ้นมา ยังไง๊ยังไง เราก็อยู่ในก้อนเมฆ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆเลยลองเอื้อมือไปสัมผัสไปอากาศ และคิดว่าตอนนี้เราต้องจับก้อนเมฆอยู่แน่ๆ "มันนิ่มๆดีนะ" ข้าพเจ้าบอกเพื่อนๆ และคิดจริงจังอย่างมีความสุขว่า ได้จับก้อนเมฆแล้ว รู้สึกดีมาก รู้สึกเหมือนได้ทำความฝันในวัยเด็กที่ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นจริงให้เป็นจริงขึ้นมา!!!

                 รถก็ขับไวด้วย "กินก้อนเมฆด้วยทุกคน อั้มมม" แก้วตะโกนบอกทุกคน แล้วเราก็อ้าปากกินก้อนเมฆกัน ฉันรู้สึกมีความสุขมาก ถึงแม้ว่ารถชาติมันจะไม่ได้หวานๆเหมือนสายไหมที่ฉันจินตนาการไว้ในตอนเด็ก แต่ถ้าถามว่ารสชาติของมันเป็นยังไง มันก็น่าจะเป็นรสชาติหวานมัน ที่กินแล้วทำให้รู้สึกดี แล้วยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีก ที่มีเพื่อนๆมากินก้อนเมฆด้วยกัน ไม่นึกเลยว่าจะมีคนมาทำอะไรแบบนี้ด้วยกัน มันจะเป็นความทรงจำไปชั่วชีวิตของฉันเลย 

ครึ่งทางแล้ว ต่อจากนี้คือของจริง


นางไอซ์บนหลังคา ณ ตาน้ำ


ทุกคนลองชิมรสชาติของน้ำต้นตำรับ

                รถจอดให้ตอนถึงตาน้ำ ครูเดินออกมาบอกจากในรถว่า "นี่เพิ่งถึงครึ่งทาง" คิดในใจว่านี่มาไกลมากแล้วนะ เพิ่งถึงครึ่งทางเองหรอ ตอนนั้นเองฉันก็ปวดฉี่อีกแล้ว ห้องน้ำก็ไม่มี ครูเลยบอกว่างั้นเดี๋ยวจะพาไปฉี่ที่โขดหินในป่า ซึ่งข้าพเจ้าก็หาได้มีทางเลือกอื่นไม่ การปัสสาวะในป่าดิบชื้นนี่ก็ไม่ได้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมากนัก กิกิกิ 


on the way


มายและบรรยากาศติสๆ

              หลังจากพักอาน้ำลูบไล้ตัวและดื่มน้ำที่ตาน้ำแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทางต่อ ครูบอกว่าต่อไปจะเป็นของจริง! เลยมีคนพูดขึ้นมาว่า "ถ้างั้นที่ผ่านมาคงจะเรียกว่าวิชา Pre-doi แล้วต่อไปคงเป็นวิชา Doi1" ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วย แล้วก็ขำๆกันอย่างมีความสุข ทางต่อมามีกิ่งไว้ยื่นออกมาเต็มไปหมด เราต้องคอยหลบซ้ายขวา ยังกับกำลังเล่นเกม Temple run ทางก็หวาดเสียวมากขึ้น มีทางขึ้นชัน แล้วก็มีทางลงชัน แต่ฉันรู้สึกว่ามันสนุกยิ่งขึ้น เย้ๆๆๆ ฝนตอนนั้นก็ตกหนัก พวกเราเปียกจนคิดว่าชั่งมันเถอะเปียกก็เปียก เป็นการเดินทางที่สนุกจริงๆ

ถึงหมู่บ้านแล้ว

            

ภาพทางเข้าหมู่บ้าน(ในตอนที่ฝนไม่ตก)


                     หลังจากการเดินทางอันยาวนานเส้นทางที่ยากลำบาก พร้อมฝนกระหน่ำ เราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่เราจะมาอยู่อาศัย ตลอด 10 วันนี้ พอถึงโรงเรียนเท่านั้นแหละ ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นนี่เรียกได้ว่าไม่ตรงกับที่จินตนาการเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ภาพที่เห็นคือมีเต้นท์กางไว้ มีเวที แล้วก็เหมือนมีงานเลี้ยงฉลองอะไรบางอย่าง พวกเราลงจากรถด้วยความงงงวยไปยังเต้นท์นั้น ดนย์บอกว่าเขามีจัดเลี้ยงต้อนรับพวกเรา แล้วก็อำลาครูที่กำลังจะเกษียณด้วย


ภาพร่องรอยเวทีที่เหลือหลังงานเลี้ยงเลิก

                   มีน้องๆเด็กนักเรียนแต่งตัวชุดไทย ชุดชาวเผ่า หลายแบบ เหมือนจะมีการแสดงอะไรบางอย่าง พอพวกเราลงจากรถมาจนครบ ผอ. ก็เรียกเราจำนวน 26 คนไปยืนหน้าเวที คือตอนนั้นฝนก็ยังตกลงมาไม่หยุด ผอ. นี่ก็ติสเหลือเกิน เรียกเราออกไปยืนกลางสายฝน กล่าวต้อนรับ แนะนำตัวคุณครูบนดอย แล้วก็ให้พวกเราแนะนำตัว ณ จุดนั้นคือเปียกไม่รู้จะเปียกยังไงแล้ว ก็เลยต้องเลยตามเลย คิดซะว่าเป็นประสบการณ์ประหลาดที่น่าจดจำ 

                 หลังจากนั้นก็มีการแสดงต้อนรับจากน้องๆ ภาพ ณ ตอนขึ้นมาตอนแรก ที่นี่มันเหนือความคาดหมายเราไปหลายอย่างจริงๆ.. 

โปรดติดตามชมตอนต่อไป..
ขอบคุณรูปภาพจาก ดนย์ เนย จั่น แจ็ค และอื่นๆ (หลายกล้องมาก)
             








วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ค่ายสบเมยเอ่ยฮัก


หนูอยากไปค่ายอาสาบ้าง


               หลังจากใช้ชีวิตมหาลัยมาจนจะจบปี 4 เทอมสอง  ข้าพเจ้าก็ได้สำเหนียกกับชีวิตน้อยๆของเราเองว่า 'เฮ้ย..นี่ยังไม่เคยไปค่ายอาสาเลยนี่หว่า'  ก็เลยมีความตั้งใจว่าจะไปค่ายอะไรสักอย่าง ที่มันไปนานๆกับเขาบ้าง แบบว่าอยากจะมีความทรงจำดีๆกับชีวิตมหาลัย อยากจะเจอเพื่อนใหม่ๆ

               ช่วงนั้นก็เจอป้ายค่ายไหนก็ถ่ายไว้หมด แต่ไม่ได้ไปมีตติ้งกับเค้าเลย สุดท้ายนึกขึ้นมาได้ถึง 'นางไอซ์' เพื่อนวิดวะคนหนึ่ง ที่เห็นมันไปค่ายบ่อยเหลือเกิน ก็เลยไปถามมันเผื่อจะมีค่ายอะไรน่าสนใจบ้าง นางก็บอกว่าเหลือแต่ค่ายชมรมชาวเขานี่แหละ(ชมรมของนางเอง) ที่ยังไม่มีตติ้ง ค่ายอื่นเค้ามีตติ้งไปหมดแล้ว ...ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจริงๆยังมีค่ายอีกมากมายที่ยังไม่มีตติ้ง ก็เลยมามีตติ้งตามที่มันบอก ฮ่าๆๆ (ความปรารถนาในการมาค่ายของเราแรงกล้าจริงๆ)

              สุดท้าย ก็ผ่านการคัดเลือกมาค่ายนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจจริงๆ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในค่ายนี้

จุดเริ่มต้นของการเดินทาง



ภาพการรวมตัวกัน ณ ตึกจุล


                เช้าตรู่ของวันที่ 20 ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงสุดขีด เพราะเพิ่งสอบเสร็จเมื่อวาน ต้องแบกร่างตัวเองมาที่มหาลัย เพื่อพบปะกับชาวค่ายคนอื่นๆ รวมกันได้ 27 ชีวิต และเราจะออกเดินทางไปด้วยกัน เย้!!

                สมาชิกค่ายคนแรกที่ฉันได้รู้จักคือ 'แก้ว' สตาฟค่าย ผู้ชายที่ฉันคิดว่า ทำไมมันผอมจังวะ พูดจาก็ขำๆดี น่าคบหา สอบก็ยังไม่เสร็จ ยังใส่ชุดนิสิตอยู่เลย บอกว่าจะตามไปทีหลัง ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน มันต้องพยายามเพื่อการไปค่ายขนาดนี้เลยหรอ(วะ) พอไปค่ายจริงๆก็มารู้ทีหลังว่าถ้าค่ายนี้ขาดแก้วไป ก็คงลำบากเหมือนกันนะเนี่ย (และแล้วแก้วมันก็ดูหล่อขึ้นมาทันที)

ขึ้นรถไปหัวลำโพงกันโกโก


เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อไปหัวลำโพง เย้ๆ


แก้วกำลังยื่นมือเพื่อช่วยเหลือน้องป็อปในการขึ้นรถ

                   หลังจากเราขนของลงมาจากห้องชมรมแล้ว เราก็ขนของขึ้นรถและเตรียมตัวขึ้นรถ ออกเดินทางเพื่อไปขึ้นรถไฟที่หัวลำโพง! อยากบอกว่ามันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกกกกกกก การขึ้นรถไฟฟรีเพื่อไปเชียงใหม่กับเพื่อนใหม่ๆเนี่ย(ถ้าไม่รวมนางไอซ์) แค่คิดว่าจะได้เดินทางไปหัวลำโพงก็ตื่นเต้นจะแย่แล้ว งั้นเราก็ไปกันเลย โกโกโก

                  ตอนขึ้นรถไปหัวลำโพง ได้นั่งแบบอยู่ใกล้ๆที่เปิดข้างหลัง ลืมไปแล้วว่าได้เอาขาห้อยลงมาหรือเปล่า แต่จำได้ว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ถ้าพ่อไปด้วยคงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ ได้นั่งเม้ากับแก้วและน้องกระปุกไประหว่างทาง น้องกระปุกดูเป็นคนที่อารมณ์ดีมากๆ แล้วเราก็คิดว่าอยากจะรู้จักกระปุกมากขึ้นเยอะๆด้วย แต่สิ่งที่ทำให้น่าตกใจเล็กน้อยคือ หลังจากรถขับออกไปผ่านประตูจุฬาฯไปไม่ไกลเท่าไหร่ สรรพนามเรียกขามของข้าพเจ้ากับแก้วก็เริ่มมีคำว่า กู-มึง เข้ามา ถึงแม้ว่าจะตกใจนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรข้าพเจ้าเป็นผู้ปรับตัวไว มันอาจจะเป็นธรรมชาติของผู้ชายวิดวะ หรือไม่ก็ค่ายนี้คนเค้าสนิทกันมากกกกก (โอเคมองโลกในแง่ดี ฮ่าๆๆ) 

ได้เวลาขึ้นรถไฟ


ขนข้าวของมาที่ชานชลา

                        หลังจากถึงหัวลำโพง ขนของมาไว้ที่ชานชลาเรียบร้อย น้องดนย์(ประธานค่าย) ก็คงจัดการจองตั๋วรถไฟฟรี หรือไม่ก็คงจัดการมานานแล้ว ปล่อยให้ชาวค่ายไปหาอะไรกินก่อนที่จะไม่ได้ประสบพบเจอความศิวิไลซ์ เป็นเวลา 15 วัน  คุณพระ! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าชาวค่ายทั้งค่าย จะเลือกกิน KFC เป็นโปรตีนจากสัตว์มื้อเกือบสุดท้ายของชีวิตบนพื้นราบ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้กักตุนขนมจากเซเว่นไว้เยอะเหมือนกัน ก็นางไอซ์ขู่เหลือเกินว่า บนรถไฟของแพงงงงงงงง โอเคเชื่อมันอีกรอบ ฮ่าๆๆ


ภาพรวมชาวค่ายก่อนออกเดินทาง (นางไอซ์คนกระเป๋าสีชมพูแรดๆ)

                     แล้วเราก็ออกเดินทางกันด้วยความแช่มชื่น ตื่นเต้นดี๊ด๊า เพราะไม่เคยนั่งรถไฟไปไกลขนาดนี้ ได้ข่าวว่าถึงอีกทีตอนประมาณ ตีห้าเช้ารุ่งขึ้น จากตอนนี้ประมาณเที่ยงๆ ตอนนั้นก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเบื่อไหม เพราะอารมณ์ตอนนั้นคือตื่นเต้นมากที่จะได้รู้จักกับคนใหม่ๆนู่นนี่นั่น ตื่นเต้นที่จะได้ไปใช้ชีวิตประหลาดกับคนแปลกหน้าด้วย 


จั่นคนติสและเนยบนรถไฟและท้องทุ่งที่สดใส


กระปุกเด็กน้อยอารมณ์ดี


โดมและนางไอซ์


มายและข้าพเจ้าเอง


                 หลังจากรถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ พวกเราก็เม้ากับเพื่อนใหม่กันไปเรื่อยๆ พอเบื่อก็เริ่มหากิจกรรมอื่นทำ เช่นอ่านหนังสือ เป็นต้น ระหว่างทางมีของขายเยอะแยะไปหมด แล้วราคาก็ไม่ได้แพงมากกกก เหมือนที่นางไอซ์กล่าวด้วย! แต่ก็เอาเถอะซื้อตุนไว้ก็ถูกกว่าจริงๆนั่นแหละ มีไอติมสถานีหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นถานีอยุธยา คือทิพย์สปอยมากว่ามันอร่อย แล้วราคามันก็ถูกด้วย สุดท้ายไอติมนั่นก็ได้กินกันแทบทั้งค่าย 
                    
                พอเริ่มเย็นๆก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองมันแผล็บ จนต้องขอทิชชู่เปียกจากน้องปริม บุคคลผู้นั่งตรงข้ามมาใช้บ้าง เป็นการใช้ทิชชู่เปียกครั้งแรกในชีวิต(อีกละ) มันก็ให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่นไม่เลวดีเหมือนกันนะ! 


ลุงเดินขายน้ำแบบไม่รู้จักเหนื่อย

                 บนรถไฟมีห้องครัวด้วย เพิ่งเคยรู้ ลุงเค้าจะทำอาหารร้อนๆมาขายในเวลาที่เหมาะสม ประมาณว่าเดินมาตอนนี้คนต้องซื้อลุงแน่ๆ จะเป็นพวกข้าวต้ม แล้วอะไรอีกจำไม่ได้แล้ว ลุงจะเดินมาแล้วก็บอกว่า นี่จะหมดแล้วเซ็ตสุดท้าย แล้วทุกครั้งที่ลุงเดินผ่านไปมามันก็จะต้องมีคนซื้อลุงตลอด จนหมดเซ็ตนั้น ลุงก็จะมีอาหารเซ็ตใหม่ออกมา แล้วก็บอกว่าเป็นเซ็ตสุดท้าย.. แล้วพวกเราก็ขำๆกันไป คิดว่าลุงเค้าคงพูดขำๆนั่นแหละ แต่มันก็ได้ผลทุกที 

เล่นไพ่สามก๊ก

             เคยได้ยินมานานและอีไพ่สามก๊กกลยุทธ์เนี่ย เห็นเพื่อนที่อยู่นิติเล่นติดกันงอมแงม อยากจะรู้จริงๆว่ามันดีอย่างไร พอรู้ว่ามีคนเอามาเล่นด้วย(เอ)นี่ก็ตื่นเต้น อยากจะเล่นบ้าง พอดึกได้ที่ไม่มีไรทำ เอก็เอาไพ่สามก๊กออกมาเล่น รู้สึกว่ามันเป็นเกมส์ที่สนุกมาก ประเทืองปัญญาเป็นอย่างยิ่ง เล่นไปได้สองรอบก็มีตำรวจรถไฟ ถามว่าเราเล่นไพ่อะไรกัน ประมาณว่าลุงเค้าซีเรียสมากว่าเราเล่นไพ่ จะถ่ายรูปส่งมหาลัย ข้าพเจ้าก็งงเล็กน้อย อยากจะอธิบายให้ลุงฟังมันคือไพ่สามก๊กลุง ไม่ใช่ป๊อกเด้ง อยากจะอธิบายวิธีการเล่นให้ลุงฟังนะ แต่ลุงดูจะไม่ฟังท่าเดียว แถวกว่าตัวเองจะเข้าใจเกมก็นานอยู่ ต้น(เชี่ย) ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เลยบอกให้เลิกเล่นเถอะเราเกะกะคนอื่น เวลาหลังจากนั้นทุกคนก็เลยหลับ...

            .......แต่ปัญหาคือข้าพเจ้านอนไม่หลับไง ก็เลยได้เม้ากับต้องผู้นอนไม่หลับเหมือนกัน แต่เราก็พยายามนอนกัน เพราะชาวบ้านดูหลับกันอย่างมีความสุขเหลือเกิน แม้กระทั่งโดที่บ่นตลอดทางว่านอนไม่ค่อยหลับ แต่ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นคือ หลับและกรนอย่างมีความสุข...

          ระหว่างทางรถไฟตอนกลางคืนมันก็เงียบๆดีเหมือนกัน มองไปบนท้องฟ้าก็เห็นดาว ลมก็พัดตีหน้าตลอดเวลา บางทีก็เป็นเวลาได้คิดอะไรกับตัวเองหลายๆอย่าง หลายๆเรื่อง ที่เวลาอยู่ในชีวิตที่วุ่นวายไม่มีโอกาสที่เราได้คิดอะไรจริงๆจังๆเลย 

            ตอนที่รถไฟเข้าถ้ำขุนตานเพื่อนคนอื่นๆก็ตื่นมาดูถ้ำเหมือนกัน บาสก็ตื่นขึ้นมาชมทางด้วยเป็นระยะ และยื่นหมอนให้ เพราะเห็นว่าข้าพเจ้านอนไม่หลับ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจมิรู้ลืมเลือน เพราะบาสก็มีเหมือนอยู่ใบเดียวยังจะมีน้ำใจแบ่งปันให้ฉันด้วย 

           ตอนตีสามมีป้าเดินมาขายข้าวเหนียวไก่ทอด คิดในใจใครมันจะไปกินอะไรลงตอนตีสาม แต่พอป้าเดินผ่านมา ต้องมันก็ซื้อไก่ทอดมากิน..... สงสัยว่าจะต้องการโปรตีนสะสมไว้ก่อน เพราะกลัวว่ากล้ามของตนเองจะหดเมื่อกลับลงมาจากดอย ประมาณตีห้าเราก็ถึงเชียงใหม่(ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้หลับเลย)

ถึงเชียงใหม่แว้ว


ขนของมาไว้ที่สถานีรถไฟ


ถึงเชียงใหม่แล้ว

                  พอมาถึงก็ขนของลง แยกย้ายกันไปอาบน้ำที่สถานีรถไฟ ข้าพเจ้าก็ได้พบกับแก้วอีกครั้ง หลังจากสอบเสร็จแก้วก็ขึ้นรถทัวร์ตามมา พร้อมกับแต่งตัวแบบที่มันเรียกว่า ชุดคนเชียงใหม่ แล้วเราก็ออกไปซื้อผักสำหรับประทังชีวิตบนดอย ที่กาด.. ที่ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้

ไปซื้อผักที่กาดกัน

                เราขึ้นรถแดงสองคันไปซื้อผัก ไปไม่กี่คน บางส่วนที่เหลือก็เฝ้าของ กินข้าว พักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ตัวข้าพเจ้านั้นรู้สึกตื่นเต้นกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ เลยขอไปด้วย ไปช่วยแบกผักก็ยังดี และมีแก้วผู้ใจดีอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปด้วย เย้ๆๆๆ 

               ตอนเดินไปซื้อผักแก้วมันก็บ่นๆว่า 
               แก้ว :  ทำไมคนเชียงใหม่ไม่เห็นแต่งชุดเชียงใหม่แบบที่มันแต่งมาเลย
               ข้าพเจ้า : .......................

             ก็คงจะเป็นเพราะคนเชียงใหม่เค้าก็แต่งตัวกันแบบมนุษย์ปกติไง เดินซื้อผักนี่สนุกมาก เพราะเราช่วยแบกผักอย่างเดียว ได้กินข้าวเหนียวมูลหน้าปลาแห้งที่แก้วซื้อมาแบ่งทุกๆคน คือดีงามมาก ไม่นึกเลยว่ามันจะอร่อย! ส่วนโดมจะเรียกร้องจะซื้อมะม่วง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ฮ่าๆๆ

            พอกลับมาจากซื้อผัก ก็รู้สึกว่าง่วงได้ที่ ก็เลยได้นอนที่สถานีรถไฟเป็นครั้งแรก! อันนี้ไม่รู้สึกตื่นเต้นละ แต่ว่ารู้สึกง่วงมาก หลับไปแบบหลับไปเลยยย !!


ข้าพเจ้าและต้องนอนที่สถานีรถไฟเชียงใหม่!
                
                     ตอนนั้นมีสมาชิกมาเพิ่มอีกคนคือ วาว คือนางสวยมาก แล้วก็แบบมีอัธยาศัยดีงาม เราก็เลยได้รู้จักกันตอนแรก ณ สถานีรถไฟเชียงใหม่นั่นเอง


วันนี้ขี้เกียจพิมพ์ละ 
โปรดติดตามชมตอนต่อไป...
ขอบคุณรูปภาพจากดนย์ประธานค่าย และจั่นคนติส