วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ชมแสงไฟที่ตลาดน้อย นำเที่ยวโดยไกด์ท้องถิ่น

ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยได้ยินชื่อตลาดน้อยก็ตอนที่เข้ามหาลัยเป็นเพื่อนกับอิซัน เพราะบ้านของเขานั้นอยู่ที่ตลาดน้อย และเขาก็ชอบพูดถึงแถวบ้านเขาบ่อย แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมแถวนั้นสักครั้ง ทั้งที่ไปเยาวราชก็บ่อย เพราะคิดว่าแถวนั้นก็ไม่น่าจะมีอะไรมากมาย

แต่ในช่วงถ่ายรูปรับปริญญาที่ผ่านมา น้องซันคนนี้ได้ไปถ่ายรูปชุดครุยกับบ้านเกิดตลาดน้อย ข้าพเจ้าจึงเพิ่งได้รู้ว่า ที่นี่มีอะไรน่าสนใจ และเราไม่เคยไปด้วย


นี่คือภาพตัวอย่างที่ทำให้รู้สึกสนใจชุมชนตลาดน้อย

พักหลังๆมาก็แปลกด้วย ใครๆก็แชร์เรื่องราวการไปเที่ยวตลาดน้อยในเฟซบุ๊ค ทำให้ข้าพเจ้าและน้องนกคิดกันจริงๆจังๆว่าต้องไปเที่ยวตลาดน้อยกัน จนล่าสุดคือมีการจัดงานแสงสีตอนกลางคืน เราเลยคิดว่ายังไงก็ต้องไปแล้วแหละ ซึ่งสมาชิกที่ไปได้คือ ข้าพเจ้า มิ้ว(น้องของข้าพเจ้า) อิซัน(ไกด์ท้องถิ่น) เป้ ส่วนน้องนกนั่นยังคงต้องว้าวุ้นอยู่กับแลปต่อไปอย่างน่าเสียดาย

เรานัดเจอกันที่ร้านราดหน้าแห่งหนึ่งที่เยาวราช เพราะความหิวโหยจึงสั่งพิเศษ แต่ปริมาณที่ได้มานั้นทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าแม่ค้าคงลืมว่าเราสั่งพิเศษ แต่ราคาที่เราต้องจ่ายเป็นราคาพิเศษ คุณแม่ค้าเลยอธิบายว่าจริงๆแล้วมันพิเศษให้เราเข้าใจ แต่ตอนนั้นไม่มีใครอิ่มเลย น้องซันจริงแนะนำร้านข้าวผัดปูเจ้าดังที่ตลาดน้อยให้เราไปกินกันเพิ่ม 

ไปตลาดน้อยกันเถอะ
เราเดินไปตลาดน้อยกันหลังจากกินราดหน้าเสร็จ สังเกตุได้ว่าวันนี้คนมาเยาวราชเยอะผิดปกติ เหตุเพราะมีงานที่ตลาดน้อยแน่ๆ 

ระหว่างทางไปตลาดน้อยน้องซันก็เดินนำหน้าด้วยความภาคภูมิใจ และสำนึกรักในบ้านเกิด พร้อมกับเล่าประวัติให้ฟัง อิซันเล่าว่า
จริงๆแล้วตลาดน้อยไม่ได้ชื่อนี้เพราะมันเล็ก แต่เพราะเจ้าของตลาดชื่อน้อย แต่จริงๆแล้วตลาดมันก็เล็กจริงๆด้วยนั่นแหละ สมัยเด็กน้องซันก็คิดว่าตลาดน้อยมันก็ใหญ่ดี แต่พอได้ไปตลาด อตก จึงรู้ว่ามันน้อยจริงๆ
นอกจากนี้ก็ยังได้พูดคุยประวัติสัพเพเหระต่างๆมากมาย จนเดินใกล้ถึงที่จัดแสงไฟ เราจึงรู้ว่ามีคนเยอะมากกกกกกกก จนน่าตกใจ น้องซันบ่นแบบหัวเสียเล็กน้อยว่าคนพวกนี้หาทางเข้าบ้านมันเจอได้ยังไง  แหมเดี๋ยวนี้โลกเราก็มีกูเกิลแมพมะ = =

เมื่อเราเดินมาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นคนยืงมุงถ่ายรูปอะไรสักอย่างในซอยแคบๆ เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเค้ายืนมุงถ่ายอะไรก็ช็อคเล็กน้อย เพราะมันคือศาลพระภูมิแถวนั้นที่มีการตกแต่งแสงไฟ ไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆว่าจะได้มาเห็นคนยืนมุงถ่ายรูปศาลพระภูมิ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ได้แต่ปลอบใจตัวเองเบาๆว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว (ตามที่เลดี้กาลาเดรียลได้เคยกล่าวไว้) นอกจากศาลพระภูมิแล้วต้นไทรคนก็ไม่เว้น เห้อมมม รู้สึกอย่างไรชอบกล

ผู้คนก็จะมุงถ่ายรูปกันตามทางเป็นระยะ ตามส่วนที่มีคนมาจัดแสงไฟไว้ให้ เหมือนทุกคนมาเที่ยวเพราะต้องการจะถ่ายรูป มากกว่าชื่นชมอะไรเก่าๆ


ที่ที่ข้าพเจ้าคิดว่ามันสมเหตุสมผลต่อการถ่ายรูป

โซวเฮงไถ่
สถานที่ที่ข้าพเจ้าอยากมามากที่สุดก็คือบ้านจีนหลังหนึ่งที่ชื่อว่า โซวเฮงไถ่ มันดูเก่าและสวยเหมือนในหนังจีนที่เราดูกัน ข้าพเจ้าคาดหวังจะมาชื่นชมบรรยากาศบ้านจีนโบราณใต้แสงจันทร์ แต่พอไปถึงก็มีคนปริมาณนับล้านคนเหมือนเดิม คนเยอะตั้งแต่หน้าประตูและทุกซอกทุกมุม ที่ๆคนจะกระจุกไปอยู่มากที่สุดคือที่ๆมีแสงไฟ นี่คนหรือแมงเม่ากัน แต่บ้านจีนหลังนี้ก็ยังคงความสวยงามน่าประทับใจเอาไว้ และข้าพเจ้าจะต้องมาใหม่ตอนคนน้อยๆอีกแน่


โซวเฮงไถ่คนเยอะมาก เหมือนโรงเตี๊ยมวุนวายๆในหนังจีน


มิ้วกับผนังบ้านจีน

เซียมซีดิจิตัล
ออกจากบ้านจีนเก่า เราก็เดินไปศาลเจ้าแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ระหว่างทางไกด์ท้องถิ่นของเราก็ได้เล่าประวัติบ้านจีนโซวเฮงไถ่แบบลับๆให้พวกเราฟังไปด้วย ดูจะเป็นข้อมูลสุดพิเศษที่คนแถวนั้นเท่านั้นที่จะรู้ ที่ศาลเจ้าก็มีการจัดแสงไฟเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือเซียมซีดิจิตัล เป็นแท่งเสาไฟใหญ่ๆสีแดงตั้งไว้ ให้คนไปกดปุ่มเสี่ยงทายว่าจะได้เสาหมายเลขไหน คนไปต่อคิวเสี่ยงเซียมซีเยอะมาก คืออยากจะรู้ว่ามันจะขลังไหม หมดกันความขลังในศาลเจ้าของชั้นนนน 


ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง

หลังจากนั้นเราเดินมุ่งหน้าไปยังโบสถ์กาลหว่าร์ สองข้างทางแคบๆมีการจัดแสงไฟเป็นระยะ คนก็เยอะมากตามจุดที่มีไฟเท่านั้น แต่พวกเราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปกันเท่าไหร่เพราะรู้สึดอึดอัดมากกว่าอยากถ่ายรูป จนมาถึงตรงหนึ่งคนเบียดเสียดกันเยอะมาก เพราะมีการจัดแสงไฟ แถมเป็นที่ๆแคบมากกว่าปกติ คนก็หยุดถ่ายรูปกัน มีอาม่าที่ต้องขอทางเดินเข้าบ้านตัวเองเพราะคนเยอะจัดจนหาทางเดินไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นใจอาม่าผู้นั้นมากที่ต้องถูกรบกวนความสงบ


ทางเดินที่อาม่าต้องขอเดินเข้าบ้าน


ส่วนคนที่บ่นกระปอดกระแปดตลอดทางเห็นจะเป็นน้องซัน เพราะนางบอกว่าปกติชุมชนตลาดน้อยนี่เงียบสงบมาก มาทำแบบนี้รบกวนอากงอาม่าแถวนั้น ทางเข้าบ้านตัวเองก็หาไม่ได้ ทั้งที่ตอนแรกนางดูจะพรีเซ้นบ้านตัวเองมาก หมาตัวนี้ของบ้านไหนยังรู้จัก คนที่เดินอยู่ข้างหน้าเป็นคนเฝ้าที่โรงจอดรถก็อยากจะแนะนำให้เรารู้จัก แต่พอเห็นคนมากเกินไปก็ไม่สนุก น่าเห็นใจเขานะครับ ฮ่าๆ

โบสถ์กาลหว่าร์


โบสถ์กาลหว่าร์

ที่ที่สงบที่สุดของกิจกรรมในค่ำคืนนี้เห็นจะเป็นโบสถ์กาลหว่าร์ เพราะเรามาเดินให้ลมพัดหน้ากันที่ข้างในโบสถ์ แต่ที่จัดแสงไฟอยู่ด้านหน้า แมงเม่ามนุษย์เลยเดินตามแสงไปกันไป ทั้งที่บริเวณโบสถ์นี้รู้สึกสงบกว่ามาก แต่คนก็ไม่มากัน เพียงเพราะไม่มีแสงไฟอย่างงั้นหรอ? ระหว่างนั้นเราก็ต้องฟังประวัติโรงเรียนกุหลาบวิทยา พร้อมคำขวัญประจำโรงเรียนไปตามระเบียบ ถึงแม้ไกด์ท้องถิ่นของเราจะไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้แต่ก็เล่าประวัติได้ละเอียดมากพอสมควร 

นอกจากนั้นในคืนนั้นข้าพเจ้ายังต้องฟังประวัติพระเยซูตั้งอันยาวนานตั้งแต่เกิดมาในคอกแกะ จนฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง และได้รู้ว่าเพื่อนของอาม่ามันขายยาดมเอี๊ยะแซ บ้านเพื่อนมันขายถังออกซิเจน ประวัติของเกี๋ยวเตี๋ยวรู และอื่นๆอีกมากมาย ถึงเราจะอยากฟังหรือไม่แต่ไกด์ท้องถิ่นของเราก็จะมีสิ่งน่าสนใจมานำเสนอตลอดเวลา

สุดท้ายเรามากินข้าวผัดปูเจ้าอร่อยที่เจ้าถิ่นแนะนำด้วยกันด้วยความอร่อย และกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ผิดหวัง ถึงคนจะเยอะมากกว่าที่คิดไว้มาก แต่รวมๆแล้วก็รู้สึกดี เพราะอากาศ หรือเพื่อนๆที่มาด้วยรึเปล่า? ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตลาดน้อยเนี่ยคงต้องมาใหม่แน่ๆในตอนกลางวัน!

เรื่อง เมย์ ภัทริน
รูป อิซันคนเดิม

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

แสมสารสมานแผล (One day trip)


จุดเริ่มต้น

ในขณะที่เราต้องนั่งฟังเพื่อนพรีเซ้นงานอันแสนน่าเบื่อหน่าย เป็นธรรมดาว่ากิจกรรมยอดฮิตคือการนั่งไถโทรศัพท์อย่างเรื่อยเปื่อย เหมือนกับโชคชะตาได้กำหนดเอาไว้!! ฉันเห็นกระทู้ที่เพื่อนๆแชร์กันมาเรื่อง "เกาะขาม" ที่สัตหีบ ฉันอ่านกระทู้จบไม่ลังเลที่จะส่งไปให้อ้อม ที่คาดว่าคงจะนั่งไถมือถือเล่นอยู่ด้วยเหมือนกัน แล้วชวนไปเที่ยวด้วยตอนนั้นเลย ไม่เคยไปเที่ยวกับอ้อม แต่ความรู้สึกมันบอกว่า "ที่นี่ต้องไปกับคนนี้" ฮ่าๆๆ อ้อมก็ไม่ลังเลที่จะตอบตกลง เมื่อแบงค์รู้เรื่องก็เลยตกลงว่าจะไปด้วยกัน ทริปนี้จึงเกิดขึ้นแบบง่ายๆ และไม่มีใครคาดคิด เฮ้เฮ้ ตื่นเต้นจังงงง

ออกเดินทาง


หญิงอ้อมปิดหน้าเพราะไม่ได้แต่งหน้ามา

เรานัดกันที่อนุสเสาวรีย์ตั้งแต่หกโมงครึ่งค่ะ เช้าจนหน้าก็ไม่ได้แต่ง ข้าพเจ้ากับแบงค์มาถึงกันประมาณหกโมงครึ่ง แต่ไม่มีใครโทรหาหญิงอ้อมติดเลยแม้แต่คนเดียว เลยคิดว่าคงต้องบ๊ายบายแล้วแหละ ข้าพเจ้าและแบงค์คงต้องไปกันสองคน ซื้อตั๋วรถตู้กันเรียบร้อย แล้วหญิงอ้อมก็โทรมาบอกว่าเพิ่งตื่น!! เราจึงรอจนอ้อมมาในสาพหน้าตาเพิ่งตื่น ฮ่าๆๆๆ สรุปแล้วเราออกจากอนุสเสาวรีย์ประมาณเจ็ดโมงครึ่งกว่าๆ มุ่งหน้าสู่สัตหีบชลบุรี ด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยมว่าจะได้ขึ้นเกาะขามกัน เย้ๆๆๆ

ไปแสมสาร


หลังจากลงรถตู้เราก็ขึ้นรถต่อไปยังท่าข้ามเรือ ซึ่งมีทั้งเกาะขามและเกาะแสมสาร ปรากฏว่ารอบเรือไปเกาะขามนั้นเต็มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ก่อนหน้านั้นพ่อโทรมาบอกว่า เพื่อนพ่อบอกว่าเกาะขามเต็มไวมาก เค้าเอารองเท้ามาต่อแถวกันเลยก็มี เราก็คิดในใจว่า แหมพ่อนี่เว่อจริงๆใครเชื่อก็บ้าแล้ว) นอกจากนั้นาพที่เห็นตรงซื้อตั๋วไปเกาะขามยังมีคนยื่นเต็มไปหมด พวกเราจึงต้องไปแสมสารแทนแบบไม่ได้คาดคิด 


อ้อมซื้อตั๋ว

บริเวณที่ซื้อตั๋วไปเกาะแสมสารคนไม่เยอะเท่าเกาะขาม แต่เรือก็ยังเหลือแค่สองรอบอยู่ดี เราจึงได้ขึ้นเรือไปแสมสารรอบ 11 โมง 

ท่าข้ามเรือ


ขณะรอเรือเราจึงไปรับประทานอาหาร เปลี่ยนชุดพร้อมออกไปเริงร่ากับทะเล แต่งหน้า ทาครีมกันแดด ให้เรียบร้อย ข้าพเจ้านั้นรู้สึกสวยขึ้นมาทันที แตกต่างกับสภาพเมื่อเช้าที่ขึ้นรถตู้มามากๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดการแต่งหน้าจึงทำให้รู้สึดสดใสพร้อมจะออกไปรับมือกับทุกสิ่งในชีวิตตตต ฮ่าๆๆๆๆ

จากนั้นเราก็เดินไปถ่ายรูปที่ท่าเรือ สีน้ำทะเลของที่นี่สวยจนน่าตื่นเต้น ฉันไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานแล้วเหมือนกัน อากาศก็ดี แถมวันนี้ท้องฟ้าก็สวยมาก บริเวณใกล้ฝั่งของที่นี่มีลักษณะเหมือนป่าชายเลน มีต้นโกงกางขึ้นเต็มไปหมด

แบงค์กับอ้อม

สมาชิกทั้งสาม

อ้อม ทะเล และสายลม

ได้เวลาขึ้นเรือ

เมื่อถึงเวลาเรือมาเราก็ไปต่อแถวเพื่อจะขึ้นเรือไปยังเกาะ มีคนเยอะมาก บางคนก็หอบหิ้วอาหารการกิน กระติกน้ำแข็ง เสื่อ หรืออะไรก็ตามที่ดูจะไปพักผ่อนหย่อนใจได้ ส่วนมากมากันเป็นครอบครัว มีเด็กๆมาด้วย แถวแรกที่เราไปต่อ ต่อจนจะได้ขึ้นแล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นเรือไปเกาะขาม เลยต้องมาต่อใหม่อีกแถว

สีน้ำทะเลที่ท่าเรือ ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะเห็นปลาสวยๆว่ายไปมาเต็มไปหมด


ซื้อตั๋วขึ้นเรือโรฮิงยา

เราเลือกที่นั่งหลังเรือกัน เพราะจะได้มองทะเลกันให้พอใจไปเลย ไม่มีอะไรมาบัง มีชูชีพให้ใส่กันคนละอัน ตอนเรือยังไม่เคลื่อนที่แอบรู้สึกเมาเรืออยากอ้วกนิดๆ

บนเรือ

มุ่งหน้าสู่เกาะแสมสาร

เกาะแสมสารอนุรักษ์ธรรมชาติ




เรามาถึงแสมสาร ลงจากเรือ รู้สึกว่าที่นี่สวยมาก ทรายสีขาวละเอียด ทะเลสีคราม ท้องฟ้าสดใสคนก็มีไม่เยอะจนเกินไป ในทะเลก็มีคนกำลังดำน้ำกันอยู่ อยากจะวิ่งลงทะเลกันตอนนั้นเลย แต่เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปฟังบรรยายก่อน(เป็นการมาเที่ยวที่แปลกมาก)

นั่งฟังบรรยาย

แต่พอมาฟังยายข้าพเจ้าก็ตระหนักได้ว่า ทำไมถึงต้องมาฟังบรรยายก่อน เพราะที่นี่แต่ก่อนไม่ได้เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เพิ่งมาเปิดเป็นที่เที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้ไม่นาน การเล่าเรื่องจากคุณลุงทหารเจ้าหน้าที่ ทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของท้องทะเลไทย ทำให้เรารู้สึกอยากอนุรักษ์เก็บไว้มากขึ้น นอกจากนั้นยังอธิบายเส้นทางและกิจกรรมบนเกาะนี้ ซึ่งมีทั้งดำน้ำ ถีบจักรยาน เดินป่า พายเรือ มาเที่ยววันเดียวยังไงก็ไม่พอแน่นอน และที่นี่ไม่อนุญาติให้มีการนอนค้างคืน

เราตัดสินใจว่าจะไปดำน้ำดูปะการังกันที่หาดลูกลม ซึ่งต้องขึ้นรถต่อไปอีกฝั่งหนึ่งของหาด

หาดลูกลม

หาดลูกลม

วอลเล่บอลชายหาด



ที่หาดลูกลมเมื่อเรามาถึงแดดแรงมาก มีผู้คนพอสมควร มีตาข่ายและลูกวอลเล่บอลให้คนไว้เล่น เราไปเปลี่ยนชุด เช่าอุปกรณ์ดำน้ำดูปะการัง เช็คอุปกรณ์และขึ้นเรือไปสถานที่ดำน้ำ บริเวณเช่าอุปกรณ์ เจ้าหน้าที่ที่คอยเก็บเงินดูจะอารมณ์ดีมากๆ พูดเล่นขำๆกับทุกคนตลอดเวลา


ที่นี่ถ้าคนไม่อยากตัวเปียก ก็จะมีเรือท้องกระจกที่สามารถจองเพื่อขึ้นไปดูปากะรังได้โดยไม่ต้องลงน้ำ ซึ่งได้รับความนิยมพอสมควร

ไปดำน้ำกันเถอะ

เรือที่เราขึ้นรอบนั้นมีแค่พวกเราสามคน ขับไวมากกกกก หน้าแทบหงาย แต่ก็สนุกมากๆจริงๆ

ดำน้ำ

ที่ดำน้ำที่นี่จะกั้นบริเวณที่สามารถดำน้ำเอาไว้ และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัยของเราด้วย นี่เป็นการดำน้ำแบบสน็อกเกิลครั้งแรกในชีวิตของฉัน รู้สึกว่าการคาบอุปกรณ์ต่างๆมันช่างดูลำบากพิกล หายใจทางปาก พอดำลงไปน้ำทะเลมาจากไหนก็ไม่รู้เข้าปากซะงั้น เลยมีพี่เจ้าหน้าที่มาสอนใหม่อีกรอบ 

ตอนดำน้ำเท้าแอบไปโดนปะการัง อยู่หลายรอบ เจ็บอยู่เหมือนกัน ที่นี่มีหอยเม่นเต็มไปหมด ฉันต้องระวังตัวอย่างมาก มีอยู่บริเวณหนึ่งที่ปะการังสาวยมาก มีหอยมือเสือ ปะการังอะไรก็ไม่รู้แล้วก็มีปลาการ์ตูนด้วย บางทีการดำน้ำแบบนี้มันก็สงบดี อยู่กับตัวเองดูวิถีชีวิตตามธรรมชาติ ไม่ต้องได้ยินเสียงอะไร

แบงค์ผู้มีความแอดว๊านได้ไปขอตีนกบมาใช้ในการดำน้ำเล่นครั้งนี้ด้วย เวลาผ่านไประดับน้ำทะเลลดลง มีคนที่โดนปะการังบาดจนเป็นแผลใหญ่มาก สีเลือดตัดกับสีน้ำเงินของแพ กลายเป็นสีแดงสดได้น่ากลัวมากๆ

เมื่อเราดำน้ำจนพอใจจึงกลับไปที่ฝั่ง ฉันบอกกับอ้อมว่าอยากขึ้นเรือยางเพราะมันวิ่งไวมาก แล้วในที่สุดก็ได้ขึ้นเรือยางกลับจริงๆ แต่เรือยางไม่ได้วิ่งไวเหมือนตอนที่มีเฉพาะเจ้าหนาที่ ฉันผิดหวังนิดหน่อย

พายเรือกันเถอะ


กลับมาที่ฝั่งเราเห็นคนพายเรือไปมา จึงอยากพายกันบ้างสอบถามเจ้าหน้าที่ พบว่าเรือมีน้อยมาก จึงต้องรอให้มีคนพายเสร็จก่อน ค่าเช่าเรือที่นี่ก็ถูกมาก (อะไรๆก็ถูกไปหมด) เรานั่งเรือกันไปสามคน อ้อมผู้มีทักษะในการพายอยู่หน้าสุด แบงค์คนพายอีกคนอยู่ข้างหลัง  ส่วนฉันนั่งกินไอติมรสมะนาวที่เพิ่งซื้อมาแล้วหย่อนเท้าราน้ำลงไปในทะเล ตรงกับสำนวนที่่่ว่า "มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ" ฮ่าๆ หลังจากโดนเพื่อนบ่นสักพัก จึงเอาเท้าขึ้นเรือและกินไอติมอย่างสงบเสงี่ยม

ฉันคิ้วหายไปแล้ว พร้อมกับแบงค์มีขนรักแร้เพิ่มขึ้น

ฉันชอบการพายเรือมากกว่าการดำน้ำดูปะการัง เพราะรู้สึกสบายกว่า(อาจเป็นเพราะไม่ได้พาย แค่นั่งเฉยๆ) ลมพัดเย็นดี แถมยังได้ครุ่งคิดอะไรๆมากกว่าการดำน้ำ

บรรยากาศที่หาดลูกลม

แบงค์ชื่นชอบสิ่งนี้มาก

หมดเวลาสนุกแล้วสิ

หลังจากพายเรือเสร็จเราก็ไปอาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวกลับหาดหลักที่เรามา เพื่อที่จะขึ้นเรือกลับกัน เวลาประมาณเกือบสี่โมงเกาะก็แทบจะร้างผู้คนเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจะรีบกลับไปไหนกัน

หาดแรกที่ลงมา

บรรยากาศ


ขณะที่รอเรือมาฉันได้เดินเล่นบริเวณชายหาด เห็นมีเพื่อนคู่หนึ่งพยายามถ่ายรูปในท่ากระโดดให้กัน มีเสียงหัวเราะ พูกคุยมาเป็นระยะ เห็นแล้รู้สึกอบอุ่นมาก 

ถ่ายรูปกันสองคน

กลับสู้ชีวิตปกติ

เมื่อเรือมาถึงเราก็เลือกที่นั่งท้ายเรือเหมือนเดิม เรามองย้อนกลับไปที่เกาะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า หรือถ้าได้กลับมาจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ เรารู้แค่ว่าวันนี้สนุกมาก อาจจะเป็นหนึ่งในความทรงจำสำคัญที่มีเราสามคนอยู่ด้วยกัน เพราะไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมีโอกาสได้มาด้วยกันแบบนี้อีก น้อยนักที่เราสามคนจะได้รวมแก๊งไปเที่ยวด้วยกัน ฮ่าๆ

เรือโรฮิงยามารับแล้ว
บนเรือขากลับมีคนเยอะมากกว่าขามา อ้อมรู้สึกกลัวแดดเลยเอาผ้ามาปิดหน้า แถมขากลับเที่ยวนี้ยังมีคนขึ้นไปนั่งข้างบนเรือ แบงค์บอกว่าเหมือนเรือโรฮิงยา พอฉันมองไปรอบๆก็รู้สึกว่ามันเหมือนจริงๆ ฮ่าๆๆ

โปรดรับเราขึ้นฝั่งด้วย

หลังจากถึงฝั่ง เราก็ขึ้นรถสองแถวไปท่ารถตู้และขึ้นรถตู้กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ เตรียมตัวขึ้นห้องผ่าตัดในเช้าวันจันทร์ต่อไป

บทส่งท้าย


หลังจากมาเที่ยวทะเลกับเพื่อน ก็รู้สึกว่าทะเลมันให้ความละคนรู้สึกกับการเที่ยวภูเขาโดยสิ้นเชิง เสียงที่ครุ่นคิดกับตัวเองก็ต่างกัน ความสัมพันธ์กับเพื่อนที่เกิดขึ้นก็ต่างกัน ฉันคิดว่าการไปเที่ยวทะเลทำให้เราผูกพันธ์กันมากขึ้น ส่วนไปเที่ยวภูเขาทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น ขอบคุณแบงค์กับอ้อมที่มาเที่ยวด้วยกัน หวังว่าเราจะมีโอกาสได้ไเที่ยวด้วยกันอีกนะ

ปล.ทริปนี้ชื่อว่า "แสมสารสมานแผลหัวหินที่ว่าแน่ก็ยังแพ้แสมสาร" ตั้งโดยแบงค์ แต่ไม่มีใครมีแผลอะไรทั้งนั้นแหละ ชื่อมันยาวดี ฮ่าๆ 

ขอบคุณภาพบางภาพจากแบงค์ :)

วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

ภูสอยดาว ทริปโหด น่องแกร่ง ตอนที่2 (ตอนจบ)

ถึงลานสน



ลานสนวันนี้หมอกปกคุลมหนาทีเดียว

เมื่อเราถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิตจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็เดินไปยังสถานที่กางเต๊นท์ ในใจก็คิดว่าเราเดินปืนเขาขึ้นมาแค่วันเดียวยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วตอนที่โฟรโด แบล็กกิ๊นส์ กับ แซม ไวท์แกมจี(ในเรื่องเดอะเลอะลอร์ดออฟเดอะริง)เดินทางเอาแหวนไปทำลายที่มอร์ดอนี่ไม่เหนื่อยตายเลยหรอวะ

ที่จุดชมวิวก็ยังมีหมอกปกคลุม

เป้และซันเดินขึ้นมาถึงตั้งแต่บ่ายสามแล้ว เช่าถังและขันอาบน้ำสำหรับอาบน้ำและเข้าห้องน้ำเผื่อเราเรียบร้อย มองไปรอบๆภูแล้วตอนนี้น่าจะมีไม่เกินยี่สิบคน(รวมเจ้าหน้าที่แล้ว)

การอาบน้ำบนยอดภู

วิธีการอาบน้ำของที่นี่คือ ไปรองน้ำจากแท็งค์น้ำ(ซึ่งใกล้หมดเต็มทน) หากน้ำหมดให้ไปตักน้ำจากลำธารใกล้ๆมาอาบ ถึงแม้ว่าตอนนี้อากาศจะหนาวเย็นเพียงใดแต่ข้าพเจ้าและผองเพื่อนก็รู้สึกสกปรกมากจนต้องทั้งอาบน้ำและสระผม เป้ผู้มาก่อนบอกพวกเราว่าถ้าจะสระผมด้วยให้ตักน้ำไปใช้สองถังถึงจะพอ

ไปถึงแท็งน้ำข้าพเจ้าพบผู้ชายคนหนึ่งรองน้ำจากแท็งค์ซึ่งไหลช้าเหลือเกิน จึงตัดสินใจเดินไปตักน้ำที่ลำธารมาอาบ หลังจากอาบน้ำไปสักพักจึงตระหนักได้ว่า น้ำสองถึงมันไม่พอ!!! ข้าพเจ้าจึงทำการยืมน้ำที่น้องนกตักวางทิ้งไว้ที่ห้องน้ำข้างๆแล้วหายไปไหนไม่รู้มาอาบ ลำบากมากถึงขั้นต้องแต่งตัวออกมาหยิบน้ไปใช้เลยทีเดียว สรุปวันนั้นต้องใช้น้ำถึงสามถัง แต่ภีมบอกว่าใช้น้ำไปแค่ถังเดียวเท่านั้น!! เป็นไปได้อย่างไรนี่

กิจกรรมยามค่ำ

กับข้าวที่เราเตรียมขึ้นมากันเองนั้น ทุกอย่างดูจะกลายเป็นของล้ำค่าไปในทันที แหนมและน้ำพริกแมงดาข้าพเจ้าได้นำมากินในมื้อนี้เอง ข้าวเหนียวแม้จะเย็นชืดเพียงใด มันก็ยังอร่อยมากอยู่ดี แต่ก็แอบกังวลใจอยู่เล็กน้อยว่าอาหารที่ข้าพเจ้าได้นำมานั้นจะเพียงพอครบทุกมื้อหรือไม่

ภาพตัดมาที่น้องนก กับข้าวของนางนี่ถือได้ว่าอยู่เป็นเดือนก็ไม่ตาย มีตั้งแต่ปลากระป๋องรสแกงเขียวหวาน ปลาผัดพริก หมูฝอย ข้าวกล้อง ซีเรียล และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนเจ้โมผู้เป็นมังสวิรัตก็นำของกินมาเยอะมากกกก ของที่สรรหามาแต่ละอย่างก็ช่างครีเอททั้งนั้น สรุปคือมื้อนั้นเราก็ยังกินอิ่มกันอยู่ทุกคน


ทางช้างเผือก ณ ภูสอยดาว




ท้องฟ้าเริ่มมืด ตอนที่เราเดินขึ้นมาหมอกเต็มไปหมดเราเลยไม่หวังว่าจะได้เห็นดาวในวันนี้ แต่พอออกมาจากเต้นท์ภาพที่เห็นคือดาวเต็มฟ้าไปหมด ข้าพเจ้าจึงต้องร้องเรียกให้ทุกคนออกจากเต้นท์เพื่อมาชมดาวด้วยกันในค่ำคืนนี้

น้องซันผู้มีกล้องดูจะตื่นเต้นกว่าใครๆ เพราะตั้งใจจะมาถ่ายรูปดาวบนนี้โดยเฉพาะ ถ้าสิ่งใดจะคุ้มค่าที่สุดในการขึ้นมาบนภูสอยดาว เห็นว่าคงจะเป็นดาวบนนี้นี่แหละ สมชื่อภูสอยดาวจริงๆ

คุณพี่โชคและแมวภูเขา



ภาพแมวภูเขาในยามเช้า

เราแหงนหน้าดูดาวจนเมื่อยคอ ข้าพเจ้าโชว์ทักษะดาราศาสตร์โดยการชี้ดาวลูกไก่ให้ภีมดู และดาวสามดวงเรียงติดๆกันซึ่งอีเจ๊โมบอกว่าเป็นเข็มขัดนายพราน นั่งพักกันเก้าอี้ใต้ต้นสน ข้าพเจ้าจึงเปิดไฟฉายเล่น ส่งไปที่นั่งข้างๆ มีแมวดำตัวหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆฉัน คุณพระ มันน่าตกใจมากจริงๆ จึงชี้ให้ภีมดู ภีมผู้เอื้ออารีจึงจับแมวดำมาอุ้มให้ความอบอุ่นแก่แมวน้อย นึกสงสัยว่าเจ้าแมวมันขึ้นมาอยู่บนนี้ได้อย่างไร

ได้ยินเสียงเล่นกีต้าร์เพลงเหมือนอยู่ในค่าย มาจากบ้านพักเจ้าหน้าที่ ตอนนั้นกรี๊ดกร๊าดกับอีเจ๊โมมากอยากจะไปนั่งร้องเพลงด้วย สักพักมีคุณลุงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาชวนเราไปร้องเพลงด้วยจริงๆ (ดีใจมากกกกกก) จึงรีบรับคำแบบไม่ปฏิเสธ


ไปนั่งร้องเพลงกับคุณลุงเจ้าหน้าที่

ไปถึงเราก็ถามหาพี่โชค สรุปได้ใจความมาว่าคือคุณพี่คนที่นั่งเล่นกีร์ต้าอยู่นี่เอง มีคุณลุงคนหนึ่งยื่นน้ำสีขาวๆมาให้เราทุกคน พวกเราจึงชิมกันคนละ 1 จิบพบว่ารสชาติแสบคอมากทีเดียว นอกจากนี้ยังมีแกงเห็ดนางฟ้าและหมูทอด ซึ่งมีแต่ภีมเท่านั้นที่กิน คนอื่นที่เหลือปฏิเสธอย่างแข็งขันเนื่องจากขี้เกียจไปตักน้ำมาแปรงฟันตอนดึกๆแล้ว


แกงเห็ดนางฟ้า

สรุปค่ำคืนนั้นเราได้ร้องเพลงของพี่เสกและพี่ตูนเป็นส่วนใหญ่ เช่น ใจสั่งมา เป็นต้น ภีมดูจะไม่ค่อยได้ร้องเท่าไหร่ เพราะต้องคุยกับคนบ้านเกิดเดียวกัน(เจ้าหน้าที่บนนี้) เราร้องกันสักพักก็รีบกลับไปนอนที่เต้นท์ 

ออกผจญภัยในดินแดนแห่งไชร์

ภีมส่องหน้าตนเองในลำธาร ตามวิถีคนโบราณ

ภีมไม่ได้เอากระจกติดมาด้วย ตอนเช้าอยากจะส่องกระจกมากจึงถามหากระจกไปทั่ว น้องซันปิ๊งไอเดียบอกภีมว่า "ง่ายมาก แค่ไปส่องที่ลำธาร" ฉันรู้ว่าน้องซันเพียงแค่พูดตาล้อเล่นเท่านั้น แต่ภีมก็ทำตามคำแนะนำของน้องซันจริงๆ


หาของกินและเตรียมตัวก่อนเดินเล่นรอบภู

น้องนกรับประทานอาหารที่แอดว๊านซ์

ข้าพเจ้าและภีมตอนอยู่ในเต้นท์


เนื่องจากเราไม่ได้คาดหวังว่ารอบภูนี้จะไกลเท่าไหร่จึงรับประทานเพียงอาหารเช้า ไม่ได้เตรียมเสบียงสำหรับระหว่างทาง กะว่าจะหาข้าวเที่ยวกินในเต้นท์ แถมแผนในตอนแรกของเราคือจะปีนขึ้นไปบนยอด 2,100 ตามรีวิวที่คนทั่วไปจะปีนขึ้นไปกันในฤดูหนาว แต่หลังจากการปีนอันเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาบนภูเมื่อวาน และจากคำบอกกล่าวของคนอื่นๆตอนเดินลง บอกแค่ว่าหมอกหนามากไม่เห็นอะไรเลย ทางก็โหดยิ่งกว่านี้ เราเลยกะว่าวันนี้พักผ่อนชิวๆบนภูเถอะ

น้องนกประทินผิวก่อนออกไปผจญภัย

เส้นทางโดยรอบ

เจ๊โมและกล้องของนาง

กิจกรรมของเราในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากมายนัก คือเดินชมต้นสน ป่าสะวันน่า หยุดถ่ายรูป ซึ่งแต่ละจุดกินเวลานานทีเดียว คนที่ชนะเลิศที่สุดในวันนี้เห็นจะเป็นน้องนกผู้ใส่เสื้อแดงตัดกับต้นไม้ภูเขาสีเขียว ทำให้อิซันนั้นอิดฉาถึงขั้นบอกว่ากลับไปจะไปหาซื้อเสื้อแบบนี้ใส่บ้าง

น้องนกผู้ชนะเลิศ


เราถ่ายภาพแม้กระทั่งกับขอนไม้โง่ๆ (แต่จริงๆข้าพเจ้าคิดว่ามันสวยมาก แลดูดีใกล้ชิดธรรมชาติ) ซึ่งกับขอนไม้นี้เราใช้เวลาที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบนาที

ยอด 2,100 ในม่านเมฆ


เราเดินไปก็เห็นยอดสองพันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่หมายของเราในตอนแรก แค่เห็นว่าจะต้องปีนขึ้นไปก็เมื่อยแล้ว ดีนะที่เราไม่ได้คิดจะขึ้นไปในวันนี้ หากอยากปีนขึ้นไปขอแนะนำให้มานอนค้างที่นี่นนานกว่านี้ คนที่จะมาเที่ยวภูสอยดาว พวกนักปีนเขานี่คงจะคิดว่ามันคือสวรรค์ชัดๆ

เราถ่ายรูปกับทุกๆอย่างที่พบเจอ

คณะของเราก็เดินทางไปเรื่อยๆตามเส้นทาง

จะว่าไปภูมิประเทศบนนี้ก็คล้ายๆหนังเรื่อง The hobbit นกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าตอนนี้เรากำลังถูกพวกอ๊อคไล่ตาม หรือแอดว๊านไปกว่านั้นคือถูกมนุษย์อุรุคายไล่ตาม คงสยองน่าดู มีคนให้ความเห็นว่าถ้าถูกอ๊อคไล่ตามคงจะวิ่งหนีขึ้นต้นไม้  เพราะหมาป่าคงจะปีนต้นไม้ไม่ได้ 

ภูเดียวสองประเทศ


เราอยู่ที่ประเทศไทย

และข้ามมาประเทศลาว

จุดเด่นของที่ภูนี้อีกอย่างหนึ่ง(นอกจากดอกหงอนนาคที่จะพบเฉพาะหน้าฝนแล้วเราไม่พบ) คือเราสามารถเดินข้ามไปมาระหว่างประเทศไทยและลาวภายในสามวินาที ! โอ้โหมันน่ามหัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น ที่จริงคือมันเป็นรอยต่อระหว่างเขตแดนประเทศไทยลาวนั่นเอง ที่นี่เคยเป็นสมรภูมิร่มเกล้า เขตรบระหว่างไทยลาว และตามป้ายมีเขียนบอกว่ามีบังเกอร์ที่ข้าพเจ้าพยายามตามหาแต่ไม่พบ ตอนเป็นสงครามมันต้องหดหู่มากแน่ๆ พวกเราใช้เวลานิดหน่อยในการถกปัญหาเรื่องสงครามก่อนจะไม่ใส่ใจมันอีก และแน่นอนเราใช้เวลาถ่ายรูป ชื่นชมและอัดคลิปที่หลักนี้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาที!!

เราเดินมาเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิวของบนภูและนั่งถ่ายรูป

แต่เราก็พบดอกไม้ที่คาดว่าจะเป็นดอกหงอนนาค


อิซันและธรรมชาติ ณ จุดชมวิว

เราเดินจนเที่ยงกว่า เลยรู้สึกหิวขึ้นมา จึงตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินที่เต้นท์ นอนพักผ่อนสักครู่ แล้วค่อยออกไปเดินเล่นที่น้ำตกภูสอยดาวตอนบ่าย

อาหารมื้อเที่ยงเพื่อส่วนใหญ่กินมาม่าและไปขอน้ำร้อนฟรีจากพี่ๆเจ้าหน้าที่ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงเสบียงที่ไม่พอของตน แต่เจ้โมผู้เอื้อเฟื้อก็แบ่งซีเรียล ขนมปัง และอาหารมากมาย(ที่เหลือเฟือ)ให้แก่ข้าพเจ้า ซาบซึ้งใจยิ่งนัก นอกจากนี้น้องนกยังขายมาม่าต่อด้วย รอดตายอีก 1 มื้อ น้องซันยังแบ่งหมูฝอยและทูน่าให้อีก เพื่อนๆช่างมีน้ำใจแก่ข้าพเจ้าจริงๆ กระซิกๆ

น้ำตกภูสอยดาว
เหลือน้ำตกเพยงเท่านี้
หลังจากกินอิ่ม นอนหลับ ตักน้ำไปเข้าห้องน้ำกันจนพอใจ เราก็ออกไปเดินเล่นที่น้ำตกบนภูสอยดาวต่อ ซึ่งจำชื่อไม่ได้ ทางเดินลงไปค่อนข้างลาดชันและลื่น หากเป็นหน้าฝนคงมีโอกาสลื่นตกเขาเป็นแน่ เรามโนว่าได้ยินเสียงน้ำตกไหลซู่ซ่านรุนแรง ภาพที่คิดไว้ในหัวคือน้ำตกไหลแรงมากน้ำกระเซ็นไปหมด พอเดินลงไปถึง มันทำให้ข้าพเจ้าต้องตะลึง เพราะดูแล้วมันเหมือนจะเป็นที่จอมยุทธ์ตกลงมา แล้วมาฝึกวิชาจนกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจ สำเร็จทุกกระบวนท่ามากกว่า ดูยังไงก็ไม่เหมือนน้ำตกสักนิด! แต่บรรยากาศช่ำเย็นมาก พวกเราก็นั่งคุยกันถึงเรื่องอนาคต เรื่องชีวิตการงานกันที่นี่ ข้าพเจ้ารู้สึกดีมากๆ

แต่ว่าน้ำใสและเย็นดี


ข้ามาฝึกวรยุทธ์ที่นี่

ส่วนเพื่อนข้ามาเที่ยว ฮ่าๆ
พอเริ่มเย็นเราก็รีบกลับเต้นท์ เตรียมตัวแบกน้ำจากลำธารมาอาบ เพื่อเตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ตกดิน และดาวสกาวฟ้าในยามค่ำคืนสุดท้ายนี้

ชมพระอาทิตย์ตกและดูดาว

นั่งเม้าไปเรื่อย

เริ่มเย็นเราก็ไปจุดชมวิว น่าดีใจมากที่วันนี้หมอกน้อยมากจนแทบไม่มี วิวที่มองไปจนสวยจนน่าประทับใจ พวกเรานั่งคุยกันเรื่องเปื่อยสัพเพเหระ เรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวในคณะของเรา ซึ่งคุยกันแล้วตลกและมีความสุขมาก เจ้โมผู้อินดี้ก็นำสมุดมานั่งบนทึกที่จุดชมวิวนี้ จริงๆตั้งแต่ขึ้นมาเราก็รู้สึกว่าภูนี้เป็นของเรา จนกระทั้งตอนนี้พวกเราก็ยังรู้สึกแบบนั้น

บนภูเขามีหมอกปกคลุม

ทิวเขาสลับไปมา

พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

เมื่อตะวันลับขอบฟ้าดาวก็เริ่มปรากฏ แต่วันนี้เรามาชมดากันที่จุดชมวิว ซึ่งสวยกว่าเมื่อวานล้านเท่า! ตรงนี้มีแค่พวกเรา ท้องฟาและก็ดาววววว ซึ่งเต็มฟ้าไปหมด แน่นอนวันี้เราก็ยังเห็นทางช้างเผือก นอกจากนี้เรายังเห็นดาวตกกันอีกหลายดวง พวกเราก็อธิฐาน อิน้องซันผู้มีจิตใจดีก็อธิฐานว่าขอให้พวกเราสอบผ่าน VCA (สอบใบประกอบโรคของสัตวแพทย์) ผ่านกันทุกคน ส่วนข้าพเจ้า แต่ละข้อตอนนี้ก็ลืมไปหมดแล้วว่าขออะไรไปบ้าง

ดาววันนี้

พวกเราตั้งกล้องถ่ายรูปเรากับดาว ซึ่งเป็นการถ่ายครั้งแรกของน้องซัน พวกเราตื่นเต้นกันมาก เดินถือไปฉายสลับไปมาดูว่ามุมไหนจะสวยที่สุด

ภาพที่ได้พวกเรากลายเป็นผีจูออนไม่มีหน้า แต่ภาพนี้เป็นความทรงจำที่ดีมาก

เราใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศ อากาศหนาว และดวงดาวนานมาก มันเป็นการดูดาวที่สวยที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้าเลยก็ว่าได้ สมชื่อภูสอยดาวจริงๆ หลังจากพอใจกับดาวเราก็กลับเต้นท์นอน

คืนข้าวของ

เจ้าหน้าที่ใจดีมาก
ของสำหรับฝากคุณพี่ลูกหาบลงไป

ถังน้ำที่เราใช้กันมาสองวัน

วันนี้เราต้องลงจากภู จึงเก็บของและนำของไปคืนเจ้าหน้าที่ เนื่องจากข้าพเจ้านั้นเกิดต้องการเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายนานกระทันหัน เพื่อนๆจึงมีเวลาคุยกับพี่ๆเจ้าหน้าที่ และได้พบความจริงว่าคุณพี่โชคคือรุ่นเดียวกันกับพวกเรา!

เดินลงภู

ถ่ายภาพกับป้ายก่อนเดินลง

หลังจากถ่ายภาพกับป้าย เราก็ร่ำลาเจ้าแมวภูเขาก่อนเดินลงแล้วก็คิดว่าคงไม่เจอกับมันอีกแล้วเป็นแน่แท้ แต่ยิ่งเราเดินลงไป เจ้าแมวก็เดินตามเราลงมา มันเดินนำหน้า ย้อนกลับมา ดูจนพวกเราเดินผ่านมันไปครบ แล้วก็ล่วงหน้าไปอีก ราวกับว่าเป็นแมวเจ้าถิ่นที่ต้องดูแลพวกเราตลอดการเดินลง และคิดว่ามันต้องลงไปข้างล่างกับเราแน่ๆ


ตอนลงวันนี้ไม่มีหมอกเลย ทำให้เราเห็นภูเขาได้สวยจนน่าประทับใจ 

ชักภาพกับแมวภูเขา

อีแมวภูเขานี่ไหนๆก็เดินมากับเราแล้วจึงจับถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วย จนเดินมาไกลพอสมควรอยู่ๆเจ้าแมวน้อยก็หายไปโดยไม่ร่ำลา มีพี่เจ้าหน้าที่เดินลงมาก็บอกว่ามันจะเดินลงมาส่งนักท่องเที่ยวเป็นเรื่องปกติ นี่พวกเราสำคัญตัวผิดไปสินะ ว่ามันชอบพวกเรา!

พวกเราเดินนานพอสมควร นี่ขนาดทางลงนะ เรานี่เก่งจริงๆเดินขึ้นไปได้ไงตั้งไกลขนาดนี้ จนใกล้จะถึงเราพบแก๊งผู้ชายหลายคนมากประมาณสองกลุ่ม น่าเสียดายเหลือเกินเราน่าจะขึ้นภูวันเดียวกัน มิฉะนั้นเราอาจจะพบรักบนภูก็ได้ กระซิกๆ ในที่สุดเราก็ถึงเมื่อเวลาเกือบๆเที่ยงและนั่งรถย้อนกลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 

พระพุทธชินราช


สุดท้ายเราได้ให้คุณพี่แท็กซี่พาเราไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลกก่อนจะขึ้นรถทัวร์กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ 

จองตั๋วรถกลับ

ขณะนั่งรอรถที่ บขส. ก็มีข่าวดีคือน้องซันนั้นได้สอบสัมภาษณ์ผ่านไปฝึกงานที่ไอโอวาในปิดเทอมหน้า สร้างความปิติยินดีให้น้องซันและผองเพื่อนเป็นอันมาก เป็นอันว่าจบทริปนี้ด้วยความสุข สวัสดี

บทส่งท้าย

ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวที่ปวดขา เมื่อยน่องมากที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ในวัยแก่เมื่อเรานึกย้อนกลับมามันคงมีความหมายมาก ดาวที่นี่ก็สวยมาก ห้องน้ำก็ลำบากสุดๆ แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ขอแนะนำให้ผู้ที่คลั่งไคล้การเดินป่า และอะไรที่เอ็กตรีมมาที่นีคงจะชอบเป็นแม่มมั่น

ขอบคุณภาพจากเจ้โมและอิซัน ขอบคุณ น้องนก หญิงเป้ ภีม อิซันและเจ้โมที่ไปเที่ยวด้วยกันนะ

จบบริบูรณ์